The great divergence : The rest VS the west (16)

The great divergence : The rest VS the west (16)

เมื่อเวลาผ่านไป 250 ปี หลังจากที่ชาวยุโรปค้นพบโลกใหม่คือทวีปอเมริกาในต้นศตวรรษที่ 16 อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ยังไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

เชื่อกันว่าประเทศเล็กๆ อย่าง คิวบา บาร์บาโดส มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าอเมริกาถึงร้อยละ 50 เม็กซิโกก็ไม่ต่างกับอเมริกามากมาย ตราบใดที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยังไม่เริ่มต้นอย่างเข้มข้นในทวีปอเมริกาเหนือ การที่รายได้ต่อหัวของกลุ่มประเทศละตินอเมริกาเกือบทั้งหมดใน 150 ปีต่อมา หรือราว ค.ศ. 1900 อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 10 ในกรณีของบราซิล ร้อยละ 35 (เม็กซิโก) หรือร้อยละ 50 (อาร์เจนตินา) ย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทายคำอธิบายที่ควรลุ่มลึกกว่าการอธิบายจากมุมมองทางวัฒนธรรมหรืออิทธิพลของศาสนาซึ่งมักเน้นความแตกต่างระหว่างอิทธิพลด้านบวกของอังกฤษเช่นระบบ Common Law อิทธิพลของพวก Puritan หรือ ศาสนา Protestant ที่มีต่ออเมริกาเหนือเมื่อเทียบกับอิทธิพลด้านลบของนิกายคาทอลิกที่สเปน และโปรตุเกสมีต่อกลุ่มประเทศละตินอเมริกา

อังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ที่เข้าไปในอเมริกาและแคนาดามีแรงจูงใจไม่ต่างกับที่สเปนและโปรตุเกสยึดครองละตินอเมริกาคือล้วนต้องการความร่ำรวยไปหาทองคำและเงินและบังคับใช้คนพื้นเมืองเป็นแรงงาน ในช่วงแรกยุทธศาสตร์และยุทธวิธีไม่ได้ต่างกัน อเมริกาใต้ตั้งแต่เม็กซิโกมีคนพื้นเมืองหนาแน่นและมีทรัพยากรมากย่อมน่าสนใจกว่าอเมริกาเหนือ แต่อังกฤษมาทีหลังไม่มีทางเลือกมีอะไรเหลือก็ต้องเอาซึ่งเผอิญเป็นสหรัฐอเมริกา

นักวิชาการ เช่น Engerman และ Sokolloff ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอังกฤษกับสเปน หรือระหว่างอเมริกาเหนือกับอเมริกาใต้ ซึ่งในที่สุดมีผลต่อรูปแบบของสถาบันทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองของสองทวีปนี้หัวใจของความแตกต่างอยู่ที่ในเงื่อนไขในระยะเริ่มแรกที่ต่างกัน เป็นความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์ดินฟ้าอากาศและความหนาแน่นของประชากรในย่านนั้นๆ นอกเหนือจากทางด้านภูมิศาสตร์ ขณะที่สเปน โปรตุเกสสามารถปล้นขูดรีดให้ได้มากที่สุดและบังคับคนพื้นเมืองจำนวนมากและนำเข้าทาสจากแอฟริกาเป็นแรงงานโดยใช้กำลังเพื่อการผลิตในเหมืองแร่และการเกษตร เช่น ในเม็กซิโก เปรู บราซิล และประเทศอื่นๆ ป้อนประเทศแม่

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ Jamestown ในเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1607 อังกฤษโดยบริษัทเวอร์จิเนียของเอกชนไม่สามารถบังคับทั้งคนพื้นเมืองซึ่งมีจำนวนน้อยและผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยให้ทำงานตามความต้องการของอังกฤษ ความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทำให้ผู้บุกเบิกจากอังกฤษต้องตอบสนองความต้องการของผู้เดินทางมาเสี่ยงภัยในโลกใหม่ด้วยระบบแรงจูงใจ ตั้งแต่การจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตรให้แก่ครอบครัวขนาดเล็กๆ การมีส่วนร่วมของประชาชนจนก่อตัวเป็นสภาท้องถิ่นหรือ assembly ในเมืองเล็กๆ ซึ่งนำไปสู่วิธีชีวิตและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ระยะแรกๆ และพัฒนาเรื่อยมาทั้ง 13 รัฐอาณานิคมจนในสุดต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากประเทศแม่

ยกเว้นทางใต้ เช่น รัฐจอร์เจียซึ่งเหมาะกับการใช้แรงงานทาสบนไร่ขนาดใหญ่ปลูกใบยาสูบ หรือฝ้าย ในเวลาต่อมาสภาพทางภูมิศาสตร์ของอเมริกาเหนือยุคบุกเบิกแถบชายฝั่งตะวันออกและบริเวณกลางๆ ภูมิอากาศเหมาะกับการปลูกธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ซึ่งเทคโนโลยีในขณะนั้นเหมาะกับฟาร์มขนาดเล็กแบบครอบครัว

นี่เป็นความแตกต่างที่สำคัญเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก เปรู บราซิล หรือแม้กระทั่งอาร์เจนตินา ซึ่งมักจะเป็นไร่ขนาดใหญ่ใช้แรงงานทาส สำหรับผู้นำอังกฤษและผู้ที่ไปตั้งรกรากสถานการณ์ที่เป็น win-win ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ในระยะยาวการพัฒนาอุตสาหกรรมความเจริญเติบโตยั่งยืนแบบก้าวกระโดดและกระจายโอกาสกันอย่างทั่วถึงนั้นควรจะต้องมีรูปแบบและสถาบันอย่างไร อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้คล้ายกันคือมีที่ดินเยอะแต่ขาดแคลนแรงงาน แรงงานจึงปัจจัยสำคัญในระยะยาวต้องเป็นแรงงานที่มีทักษะมีองค์ประกอบของทุนมนุษย์สูง นอกจากนี้สังคมต้องการการสะสมทุน นโยบายที่ดิน และนโยบายนำเข้าแรงงานจากยุโรปหรือประเทศแม่จำเป็นต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันไม่ขัดกัน ในส่วนของนโยบายที่ดินการเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงและเป็นเจ้าของที่ดินอย่างกว้างขวางไม่กระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มน้อย เช่น พัฒนาการของ Homestead Act ในปี 1862 ของสหรัฐซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดในละตินอเมริกา นโยบายที่ดินที่เหมาะสมในกรณีของสหรัฐนี้เป็นแรงจูงใจให้เกิดการอพยพคนจากยุโรปโดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 มาที่สหรัฐมากกว่าที่จะลงไปที่อเมริกาใต้

ปรากฏการณ์เช่นนี้ส่งเสริมพัฒนาการการเมืองที่ประชาชนมีบทบาทในการเลือกและตรวจสอบผู้ปกครองและไม่เปิดโอกาสให้มีการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของที่ดินจนนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจทางการเมือง สังคมสหรัฐในศตวรรษที่ 19 จึงเป็นสังคมเปิดเมื่อความเจริญเติบโตไม่กระจุกตัว การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจกระจายกันอย่างทั่วถึง ระบบการเงินและสถาบันตลาดทุนเกิดขึ้นเพื่อให้โอกาสกับคนจำนวนมากในการลงทุนและทำนวัตกรรม ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มการเมืองหรือพวกพ้องเหมือนที่พบกันอยู่ทั่วไปในประเทศละตินอเมริกา ทุกคนมีแรงจูงใจเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมและแบกรับการลงทุนในกิจกรรมหรือสินค้าสาธารณะเพื่อส่วนรวมไม่ว่าจะเป็น สาธารณูปโภค ระบบโรงเรียนขั้นต้น ทำให้อเมริกามีคนในระบบโรงเรียนและคนที่อ่านออกเขียนได้สูงที่สุดในโลก เมื่อกลางศตวรรษที่ 19 สูงกว่าอังกฤษ โดยที่ประเทศละตินอเมริกาล้าหลังกว่าเกือบร้อยปี

ทั้งหมดนี้ เมื่อบวกกับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศตั้งแต่แรกๆ เช่น Alexander Hamilton ที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาให้ล้ำหน้ายุโรป ทำให้อเมริกาไม่ใช่เพียงทิ้งห่างกลุ่มประเทศผู้นำในละตินอเมริกา แต่เริ่มแซงอังกฤษตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19

ประวัติศาสตร์ของละตินอเมริกาเต็มไปด้วยปัญหาของความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่มั่นคง ความไร้เสถียรภาพ การพัฒนาอุตสาหกรรมไม่แข็งแกร่ง ระบบการเมืองและประชาธิปไตยอ่อนแอ

ในบริบทเปรียบเทียบกับอเมริกาเหนือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น