เมื่อต้องใช้กฎหมาย ลงโทษลูกที่ทอดทิ้งบุพการี

คุณไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
นี่เป็นคำถามที่คนจีนทุกวันนี้ถามกันบ่อยขึ้น และคนถามไม่ใช่เฉพาะระหว่างเพื่อนฝูงเท่านั้น หากแต่เจ้าหน้าที่รัฐยังถูกบังคับให้ต้องถามคนเดินถนนทั่วไปด้วย
เพราะว่า เขาเพิ่งออกกฎหมายบังคับให้คนจีนทุกคน ต้องไปหาบิดามารดาของตัวเอง “บ่อยๆ” และต้องให้แน่ใจว่าลูกหลานดูแลคุณพ่อคุณแม่ทางด้านการเงิน และการสนับสนุนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอสมควร
ประเทศจีน เริ่มจะต้องห่วงเรื่องผู้อาวุโสมากขึ้น เพราะว่าโครงการสร้างประชากรเริ่มจะเป็นปัญหาเหมือนหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ของไทยเราเองที่จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ขณะที่อัตราเกิดลดน้อยถอยลง
ถึงจุดที่คนแก่มาก หนุ่มสาวน้อย ค่าใช้จ่ายดูแลผู้อาวุโสจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับรัฐ ขณะที่คนรุ่นใหม่จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเสียภาษีให้รัฐ สามารถดูแลสวัสดิการของผู้สูงวัย ได้ตามมาตรฐานในระดับที่พอควรได้
ทุกวันนี้ จีน มีประชากรวัยเกินอายุ 60 ปี มากถึง 185 ล้านคน คาดกันว่าอีกสองปีข้างหน้า จำนวนนี้จะพุ่งไปที่ 221 ล้านคน
และภายในปี ค.ศ. 2050 หรือจากนี้ไปอีก 37 ปี จำนวนผู้สูงวัยจะเท่ากับหนึ่งในสามของประชากรทั้งประเทศ
เป็นตัวเลขที่มีผลกระทบต่อการบริหารงบประมาณ การกำหนดมาตรการสวัสดิการและวิถีชีวิตในสังคม ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในครอบครัวอย่างลุ่มลึกและกว้างขวางทีเดียว
รัฐสภาจีนถกเรื่องกฎหมายฉบับนี้มาหลายเดือน หลังจากมีข่าวในสื่อมวลชนจีนว่าคนจีนสมัยนี้มักไม่ค่อยจะดูแลพ่อแม่ของตนเอง อ้างว่าต้องทำมาหากินและมีความกดดันทางด้านเศรษฐกิจ
ข่าวชิ้นหนึ่งที่สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของคนจีนค่อนข้างรุนแรง คือ เหตุเกิดที่มณฑลเจียงซู่ ทีวีท้องถิ่นรายงานพร้อมภาพเห็นชาวนาคนหนึ่งจับแม่อายุ 100 ปี ไปขังไว้ในเล้าหมูพร้อมกับหมูตัวเขื่อง
นักข่าวไปสัมภาษณ์ชาวนาคนนั้น เขาก็ตอบหน้าตาเฉยว่า
“ผมให้แม่ผมไปอยู่ในเล้าหมู เพราะแม่ผมต้องการอย่างนั้น แม่บอกว่าอยู่ในนั้นสะดวกสบายดี”
เท่านั้นแหละ ผู้คนก็เข้าไปแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียกันอย่างร้อนแรง ประณามการกระทำของชาวนาคนนั้นว่าโหดร้ายทารุณ สมควรจะต้องถูกลงโทษ และสังคมจีนกำลังย่ำแย่ เพราะลูกหลานมองเห็นพ่อแม่อายุมากเป็นภาระที่ไม่อยากจะรับผิดชอบ จับไปขังไว้ที่ไหนก็ได้เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องดูแลอะไรมากนัก
สังคมจีนโดยเฉพาะในชนบทนั้น ผู้อาวุโสมักจะต้องพึ่งพาลูกหลานในยามแก่ เพราะระบบสวัสดิการสังคมของรัฐอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยให้คนเกินวัย 60 ปี สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
สถิติทางการบอกว่าคนแก่ของเมืองจีน กว่าหนึ่งในห้ามีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน และเพราะความหมกมุ่นกับการสร้างเนื้อสร้างตัวทางเศรษฐกิจของคนรุ่นใหม่ บ่อยครั้งจึงเกิดสภาวะของการทอดทิ้งผู้บังเกิดเกล้าอย่างไร้ความปรานี
กฎหมายใหม่ของจีนฉบับนี้ ไม่ได้ระบุบทลงโทษสำหรับคนจีนที่ไม่เหลียวแลพ่อแม่ แต่บอกชัดเจนว่า หากไม่ยอมรับพ่อแม่มาดูแล ก็จะต้องจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนในอัตราที่พอจะมีชีวิตอยู่ได้ตามมาตรฐานปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้น กฎหมายยังเปิดทางให้พ่อแม่ฟ้องลูกๆ ที่ไม่ให้ความช่วยเหลือหรือดูแลตามหน้าที่ของลูกอันควรจะเป็น
ผมตรวจดูรายละเอียดประเด็นนี้แล้ว ไม่ได้ระบุว่าพ่อแม่จะฟ้องลูกที่ทอดทิ้งตนเองอย่างไร หรือจะมีบทลงโทษเพียงใด
อีกทั้งคำว่าลูกๆ “ต้องเยี่ยมพ่อแม่บ่อยๆ” นั้น จะตีความว่าเดือนละกี่หน ปีละกี่ครั้งอย่างไร ก็ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน
แต่แม้ว่าจะเป็นกฎหมายใหม่ และยังประเมินไม่ได้ว่าจะมีผลทางปฏิบัติอย่างไร ก็ต้องถือว่านี่เป็นการสะท้อนถึงสภาพสังคมยุคใหม่ของจีน (และประเทศเอเชียอื่นๆ) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
และมีผลกระทบถึงความผูกพันของพ่อแม่ และลูกหลานอย่างปฏิเสธไม่ได้
เพราะหากว่าถึงขั้นลูกจับพ่อแม่ไปเลี้ยงดูในคอกหมู หรือพ่อแม่ฟ้องลูกที่ไม่ดูแลตน สถาบันครอบครัวที่เคยเหนียวแน่นในโลกตะวันออกมาช้านาน ก็กำลังจะเผชิญกับความปรับเปลี่ยน...อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...เช่นกัน







