สำนึกร่วม กับประชาธิปไตย

เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย เรามักจะคิดกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชน หรืออย่างมากก็พูดถึงความเสมอภาค
ซึ่งก็เป็นความเสมอภาคระหว่างปัจเจกชนนั่นเอง
สังคมไทยทุกวันนี้ ความสำนึกแบบปัจเจกชนขยายตัวขึ้นมาก แม้แต่ในชนบทที่เคยมีสำนึกร่วมในหลายลักษณะ เป็นต้นว่า ความเป็นชุมชน (ป๊อกบ้านเดียวกัน หัวหมวดวัดเดียวกัน ฯลฯ) ความเป็นเครือญาติ (ถือผีเดียวกันต้องปันกันกิน) ความเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน (เป็นคนลาวเหมือนกัน ฯลฯ) ความคนบ้านเดียวกัน (“บ้าน” ในที่นี้คือหมู่บ้าน) ฯลฯ
ในปัจจุบัน ความสำนึกร่วมเหล่านี้ล้วนแต่กำลังสลายตัวไป หรือมีความหมายต่อผู้คนในชนบทน้อยลง การเข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีกรรมบูชาผีปู่ย่า พิธีกรรมบูชาผีเสื้อบ้านหรือผีเสื้อเมือง ล้วนมุ่งบรรลุเป้าหมายส่วนตัว หรืออย่างมากก็เพื่อสวัสดิภาพหรือความสำเร็จของคนบางคนที่ตนรัก มิใช่เพื่อกลุ่มทางสังคมที่ตนสังกัด
ในเขตเมืองสมัยก่อน ก็เคยมีความสำนึกร่วมในหลายลักษณะ เช่น การเป็นคนในตระกูลหรือแซ่เดียวกัน การเป็นพวกผู้ดีด้วยกัน การเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกัน ฯลฯ แต่ในสมัยหลังๆ ความผูกพันกับกลุ่มทางสังคมแบบเก่าก็สลายตัวไปเช่นกัน การรวมตัวกันมักเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อมีเป้าหมายเฉพาะหน้าร่วมกัน ขาดความสำนึกในความเป็นกลุ่มเดียวกันอย่างถาวร
ในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา สำนึกร่วมในความเป็นชาติเดียวกัน ถูกสร้างขึ้นและถูกปลูกฝังให้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนในวงกว้าง คุณธรรมที่ปลูกฝังก็ล้วนแต่เป็นคุณธรรมที่ทำให้คนกระทำหรือไม่กระทำสิ่งต่างๆ โดยนึกถึงผลที่จะเกิดแก่ชาติเป็นหลัก สำนึกเช่นนี้มีพลังอยู่มาก
แต่ในปัจจุบัน ความสำนึกในความเป็นชาติในความหมายเดิม (ที่คนผูกพันกับสถาบันหลักของชาติแบบเดิม) ก็อ่อนพลังลงไปมาก ในขณะที่ความหมายของชาติที่มีลักษณะของ “ประชาชาติ” อย่างแท้จริงก็มิได้มีพลังแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณธรรมที่จะทำให้คนนึกถึงความมั่นคงและสวัสดิภาพของ “ประชาชาติ” โดยรวมก็ยังไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
คนทุกวันนี้จึงทำอะไรโดยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะ “ได้” หรือจะ “เสีย” เป็นหลัก มากกว่าจะนึกว่า “กลุ่ม” ทุกระดับ รวมทั้งกลุ่มระดับชาติหรือประชาชาติ ว่าจะ “ได้” หรือจะ “เสีย”
การเกิดกลุ่มใหม่ๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ หรือมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งมุ่งบรรลุผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุด ไม่ใช่กลุ่มที่จะผูกพันกันอย่างรอบด้านจนสำนึกในความเป็นพวกเดียวกันอย่างค่อนข้างถาวร และพร้อมที่จะทำหน้าที่หรือเสียสละความสุขความสบายของตัวเองเพื่อความมั่นคงของกลุ่ม
นอกจากนี้ “กลุ่ม” ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็มักจะเป็นกลุ่มที่คนรวมตัวกันขาดความสำนึกร่วมว่ากลุ่มของตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ใหญ่กว่า เช่น เป็นส่วนหนึ่งของ “ประชาชน” ทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของ “ชนชั้นกรรมาชีพ” หรือเป็นส่วนหนึ่งของ "ชาติ"/"ประชาชาติ" ฯลฯ
ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ส่วนใหญ่กลับรวมกันได้ด้วยการผูกพันตัวเองกับตัวบุคคลที่ตนรัก แต่ก็มิใช่ความรักบริสุทธิ์ กลับเป็นความรักที่มาจากความรู้สึกว่าตน “ได้” ผลประโยชน์จากตัวบุคคลที่เป็นวัตถุแห่งความรักของตน หรืออย่างน้อยก็มาจากความสำนึกว่าบุคคลนั้นๆ ได้เคยทำประโยชน์แก่ตนมามาก รวมทั้งมีความหวังว่าบุคคลนั้นจะมีโอกาสทำประโยชน์ให้แก่ตนได้อีกมากหรือว่าบุคคลนั้นสามารถที่รักษาสถานะภาพเดิมของสังคมเอาไว้
หากจะมองให้ลึกลงไปในการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มการเมืองต่างๆ ในวันนี้ ก็จะพบว่าพลังผลักดันส่วนหนึ่งมาจากความโกรธเคืองที่บุคคลที่ตนรัก ได้รับความกระทบกระเทือนจากการกระทำของ “ฝ่ายตรงกันข้าม” กลุ่มที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มที่เน้นปฏิบัติการทางการเมืองเฉพาะหน้าเท่านั้นจึงไม่ได้มีโอกาสในการสร้าง “กลุ่ม” ที่มีความหมายทางสังคมแต่ประการใด (ผมต้องบอกก่อนว่ามีเหมือนกันนะครับ แต่น้อย)
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าอยู่ๆ คนก็เลวลงกว่าเดิม หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือมีศีลธรรมน้อยลง จนนึกถึงแต่ผลประโยชน์และความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก
ปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนี้มีรากฐานความเป็นมาที่สลับซับซ้อน ปัจจัยหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้คนสัมพันธ์กันในเชิงพาณิชย์ หรือมีความสัมพันธ์กันในฐานะปัจเจกชนที่นึกถึงกำไร-ขาดทุนของตนเป็นหลัก อีกทั้งวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่มาพร้อมกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็ทำให้แต่ละคนหาเงินให้มากที่สุดเพื่อจะบริโภคในสิ่งที่คนรอบข้างรับรู้ว่าหรูหราที่สุด มีรสนิยมที่สุด เจ๋งที่สุด เพื่อให้ตนดูดีที่สุดในสายตาของคนอื่น และอัตลักษณ์ที่ดูดีก็กลายเป็นที่มาของความสุขในชีวิต
ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ที่ส่งผลให้ความสำนึกแบบปัจเจกชนขยายตัว แต่ผมจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ และต้องกล่าวด้วยว่าส่วนดีของสำนึกแบบปัจเจกชนก็มีอยู่มาก ซึ่งผมก็จะขอไม่กล่าวถึงในที่นี้เช่นกัน
ที่ผมอยากจะเน้นก็คือ สำนึกปัจเจกชนนิยมที่เกิดขึ้นเช่นนี้ทำให้สิทธิและเสรีภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญของแต่ละคน และแน่นอนว่าในระบอบประชาธิปไตย ความสำนึกในสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนมีความสำคัญสูงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากคนส่วนใหญ่ในสังคมมีความสำนึกแบบปัจเจกชนโดยปราศจากความสำนึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มในระดับครอบครัว ญาติ/ตระกูล เพื่อน ชุมชนหมู่บ้าน ชาติ/ประชาชาติ ไปจนถึงกลุ่มระดับมนุษยชาติหรือประชาคมโลก คนก็พร้อมจะทำทุกสิ่งที่จะทำให้ตนได้ผลประโยชน์หรือไม่เสียผลประโยชน์ โดยไม่สนใจว่า “กลุ่ม” ในระดับต่างๆ จะเป็นอย่างไร
ผมนึกไม่ออกว่า หากสังคมไทยเข้าสู่ “โหมด” (mode) ที่ว่านี้อย่างเต็มตัว สังคมจะอยู่รอดหรือไม่ และคนในสังคมจะอยู่รอดได้อย่างไร
ความเรียงที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คงเป็นเพราะว่าผมเป็นคนแก่ ขี้กังวล และมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็อยากจะให้เราทั้งหมดช่วยกันคิดและทบทวนกันให้หนักมากขึ้นครับ หากผมผิดก็จะดีใจมากครับ หากผมถูก ก็คงต้องช่วยกันคิดและทำอะไรให้มากขึ้นล่ะครับ




