การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค (1) : “เหตุผลวิบัติของนักพนัน”

การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค (1) : “เหตุผลวิบัติของนักพนัน”

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวหวือหวาวูบวาบจนทำให้หลายคนหัวใจจะวายไม่เว้นแต่ละวัน ความผันผวนนี้ก็ไม่น่าจะลดน้อยลงได้ในอนาคต

เพราะราคาหุ้นไทยเคลื่อนไหวจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในประเทศมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังหาเครื่องจักรแห่งการเติบโตที่ยั่งยืนกว่าการบริโภคซึ่งขับดันด้วยหนี้ (ของปัจเจกหรือรัฐ) ไม่เจอ ตราบนั้นมันก็จะผันผวนมากตามวงจรของหนี้ และตลาดหุ้นไทยก็จะวิ่งเป็นรถไฟเหาะตีลังกาไปเรื่อยๆ

ยุคนี้ถ้าจะใช้ภาษาวัยรุ่นจึงเป็นยุคที่นักลงทุนต้อง “ทำใจร่มๆ” ทุกวัน จะใช้คาถาที่รัฐบาลสอนก็ได้ว่า อะไรที่ยังไม่ขายย่อมไม่ขาดทุน (ฮา)

ถ้าอยาก “ยืนระยะ” ในตลาดหุ้นอย่างมั่นคง การ “ตั้งสติ” เวลาเล่นหุ้นอย่างเดียวไม่พอ ต้อง “เตือนสติ” ตัวเองให้ตระหนักในอคติและความเข้าใจผิดต่างๆ ที่เราอาจมีโดยไม่รู้ตัวด้วย

อคติการรับรู้ที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ สิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “เหตุผลวิบัติของนักพนัน” (gambler’s fallacy) ซึ่งปัจจุบันได้รับการยืนยันจากงานวิจัยหลายชิ้นแล้วว่า ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการรับรู้และการตัดสินใจของมนุษย์

“เหตุผลวิบัติของนักพนัน” หมายถึงความเชื่อผิดๆ ว่า ถ้าเกิดซีรีส์เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เป็นเอกเทศจากกัน (เช่น การโยนเหรียญ) และผิดไปจากความคาดหวัง เหตุการณ์นี้คราวหน้าจะต้องเปลี่ยนทิศแน่ๆ เช่น ถ้าโยนเหรียญแล้วออก “หัว” ติดกันสิบครั้ง คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่า ครั้งที่สิบเอ็ดจะต้องออก “ก้อย” ชัวร์ ทั้งที่ทั้งสองกรณี คือ “หัว” และ “ก้อย” มีความเป็นไปได้ทางสถิติเท่ากัน พูดเป็นภาษาสถิติคือ ความเป็นไปได้ของซีรีส์เหตุการณ์ “เหรียญออกหัวมาแล้วสิบครั้ง แล้วครั้งที่สิบเอ็ดออกก้อย” เท่ากับ “เหรียญออกหัวมาแล้วสิบครั้ง แล้วครั้งที่สิบเอ็ดออกหัว” คือ 1 ใน 0.5 ยกกำลัง 11 (ไม่ว่าจะโยนเหรียญกี่ครั้ง ความเป็นไปได้ที่จะออก “หัว” หรือ “ก้อย” ก็ยังเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ 50-50)

“เหตุผลวิบัติของนักพนัน” มีมากมายหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งเรียกว่า การใช้เหตุผลวิบัติย้อนหลัง (retrospective) เมื่อปัจเจกเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดยากจะต้องเกิดต่อเนื่องกันถี่กว่าเหตุการณ์ที่เป็นกรณีทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทอยลูกเต๋าและบันทึกผล บอกว่าทอยได้ 6 สามครั้ง คนจะเชื่อว่าคนทอยต้องทอยมาแล้วมากกว่าสามเท่า เปรียบเทียบกับกรณีที่บอกว่าทอยได้ 6 สองครั้ง เช่น ถ้าคนเชื่อว่าคนทอยทอยต้องถึง 30 ที จึงจะออก 6 “ตั้ง” สามรอบ คนก็จะเชื่อว่าทอย “แค่” ไม่ถึง 10 ทีก็ได้ 6 สองรอบแล้ว

“เหตุผลวิบัติของนักพนัน” เป็น “สันดาน” โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด ฉะนั้นจึงต้องอาศัยการฝึกฝนตัวเองให้สลัดพ้น ไม่อย่างนั้นนอกจากจะส่งผลให้ตัดสินใจผิดแล้ว ยังมีส่วนซ้ำเติมอคติเรื่องอื่นให้ฝังลึกลงกว่าเดิมด้วย ยกตัวอย่างที่พบบ่อยคือ ระหว่างวัยรุ่นที่มีเซ็กซ์แต่ไม่เคยท้อง กับวัยรุ่นที่ท้อง คนทั่วไปจะปักใจเชื่อว่าวัยรุ่นที่ท้อง “ต้อง” มีเซ็กซ์บ่อยกว่าวัยรุ่นที่ไม่เคยท้องเลยแน่ๆ ความเข้าใจผิดทางสถิติที่ฝังลึกเช่นนี้ทำให้วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ถูกสังคมประณามว่า “สำส่อน” กว่าคนอื่นอย่างไม่ยุติธรรม

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ เหตุผลวิบัติของนักพนันนี้ดูจะเกิดขึ้นเฉพาะกับเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องของ “โชค” ล้วนๆ หรือใช้โชคเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น อย่างเช่นการโยนเหรียญหรือทอยลูกเต๋า แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราเชื่อว่าต้องใช้ “ฝีมือ” อย่างเช่นการเล่นไพ่ป๊อก เล่นกีฬา หรือเล่นหุ้น (อย่างน้อยก็ในสายตาของแมงเม่าหลายคน - คนที่อยู่นอกตลาดหุ้นจำนวนมากเชื่อว่ามันเป็นการชิงโชคล้วนๆ ที่ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไร) เราก็จะมีเหตุผลวิบัติขั้วตรงข้าม เรียกว่า “เหตุผลวิบัติว่ามือขึ้น” (hot-hand fallacy)

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเล่นไพ่ป๊อกชนะติดกันมาแล้วหลายตา เราอาจเชื่อว่าเรากำลัง “มือขึ้น” และมั่นใจว่าตาหน้าต้องชนะอีกแน่นอน นักจิตวิทยาสองคนคือ ปีเตอร์ ไอตัน กับ อิลัน ฟิชเชอร์ ผู้บัญญัติคำว่า hot-hand fallacy และพบหลักฐานยืนยันพฤติกรรมนี้ ตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ปี 2004 (อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ http://www.staff.city.ac.uk/~sj361/p1369.pdf) ว่า คนเราโดยทั่วไปไม่เชื่อว่าผลจากกิจกรรมที่มนุษย์ทำจะเป็นเรื่อง “บังเอิญ” ได้ ฉะนั้น ถ้าเชื่อว่ากระบวนการผลิตผลลัพธ์ไม่ใช่เรื่องของโชค (nonrandom) เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อว่าคนจะ “มือขึ้น” ต่อไป ขณะที่ถ้าเป็นเรื่องของโชคล้วนๆ อย่างเช่นการซื้อหวย เราก็มักจะเชื่อว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยหลายครั้ง (ถูกเจ้ามือหวยกินเรียบมานาน งวดนี้ฉันน่าจะถูกนะ!)

คนที่มีเหตุผลวิบัติของนักพนันมักจะมีเหตุผลวิบัติว่ามือขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย สะท้อนว่ามันเกิดจากอคติด้านการรับรู้ (cognitive bias) ตัวเดียวกัน ผลการสแกนสมองพบว่า หลังจากที่เสียเงินจากการพนันแล้ว สมองส่วนหน้าจะถูกกระตุ้น เพิ่มแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น แสดงว่าเหตุผลวิบัติของนักพนันขึ้นอยู่กับสมองส่วนหน้า (ส่วนที่ควบคุมการพุ่งไปยังเป้าหมาย) มากกว่าสมองส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจที่มีประสิทธิผล

นอกจากจะส่งผลต่อการรับรู้ในชีวิตประจำวันแล้ว เหตุผลวิบัติของนักพนันยังส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินเช่นกัน งานวิจัยที่โด่งดังเมื่อไม่นานมานี้โดย Huber, Kirchler, และ Stockl (2010) ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองพนันผลการโยนเหรียญ เลือกวิธีพนันระหว่างการขานตามคำแนะนำจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” (ถ้าทายถูกจะได้เงิน) หรือเลือกรับเงินจำนวนน้อยกว่าแต่ได้ชัวร์ ปรากฏว่าร้อยละ 24 ฟังผู้เชี่ยวชาญ ถ้าผู้เชี่ยวชาญทายถูก ผู้ร่วมการทดลองร้อยละ 78 ก็จะเลือกฟังอีก แต่ถ้าผู้เชี่ยวชาญทายผิด ก็มีคนเพียงร้อยละ 57 ที่ยังเลือกฟัง

ถึงวันนี้นักจิตวิทยาและนักการเงินพฤติกรรมยืนยันว่า เหตุผลวิบัติของนักพนันเป็นอคติการรับรู้ที่ฝังลึก และ ดังนั้น จึงกำจัดยากมาก ที่ผ่านมาการ “สอน” ให้คนเข้าใจลักษณะของความบังเอิญไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งคนมีอายุมากขึ้น ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อของเหตุผลวิบัตินี้น้อยลง แต่ระหว่างการรอให้คนแก่ตัว นักจิตวิทยาหลายคน อาทิเช่น คริส โรนีย์ กับ ลานา ทริค ก็เสนอว่าเราอาจกำจัดเหตุผลวิบัติได้ด้วยการ “แยกกลุ่ม” เหตุการณ์ คืออธิบายเหตุการณ์แต่ละครั้งให้เห็นว่าเป็นเอกเทศ เพราะถ้าคนมองเหตุการณ์เป็น “ซีรีส์” ปุ๊บ คนก็จะหาเหตุผลมาเชื่อมโยงซีรีส์นั้นโดยอัตโนมัติ (เชื่อว่าการโยนเหรียญในตานี้เกี่ยวกับผลของตาก่อนๆ)

เหตุผลวิบัติของนักพนันนอกจากจะทำให้เราเข้าใจผิดแล้ว ยังทำให้เรามั่นใจเกินจริงในสิ่งที่เราไม่ควรจะมั่นใจ เพราะมันเป็นเรื่องของ “โชค” มากกว่า “ฝีมือ”

เหตุผลวิบัติเรื่องนี้มาเกี่ยวกับตลาดหุ้นอย่างไร ราคาหุ้นแต่ละวันแตกต่างจากการโยนเหรียญเพราะมีปัจจัยมากมายและสัมพันธ์กับราคาในอดีตด้วยมิใช่หรือ ใช้ “ฝีมือ” ได้ไม่ใช่หรือ ตกลง “การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค” นี่มันใช้การได้ หรือว่าเหลวไหลทั้งเพ?

โปรดติดตามตอนต่อไป