เรื่องของ "ดาวแดง" คนละดวง

เรื่องของ "ดาวแดง" คนละดวง

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวม็อบสนามหลวง ได้ยกพลไปร่วม "ขบวนหน้ากากขาว" ที่เซ็นทรัลเวิล์ด

พร้อมด้วยอาสาสมัครวัยรุ่น สวมเสื้อยืดที่มีข้อความด้านหน้าว่า "เพื่อชาติ และราชบัลลังก์" จำนวนหลักร้อย เดินนำเป็นหน่วยลาดตระเวนล่วงหน้า และคอยระวังหลังปิดท้ายขบวน

แม้หน้ากากขาวบางส่วนจะสลายตัวไปที่หน้าหอศิลป์ กทม. แต่ "หน้ากากขาวสนามหลวง" ยังเดินเท้ากันต่อ จนถึงทุ่งพระเมรุ เพื่อร่วมชุมนุมใหญ่ ก่อนจะร่วมทำกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น

เช้าวันจันทร์ กลุ่มพลังธรรมาธิปไตย 300 คน สวมชุดเครื่องแบบ "ทหารกองทัพปลดแอกประชาชน" เต็มยศ ทั้งหมวก "ดาวแดงขลิบขอบเหลือง" และป้ายอักษรย่อ "ทปท." เดินเป็นขบวนนำหน้ามวลชนตรงไปสู่วัดพระแก้ว เพื่อถวายฎีกา ผ่านทางสำนักพระราชวัง

ผู้ที่ยื่นฎีกาให้ตัวแทนสำนักพระราชวังคือ "ส.พิชิต" หรือ ทองดี นามแสงโคตร แกนนำกลุ่มพลังธรรมาธิปไตย แต่คนที่แถลงข่าวคือ ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน

ข่าวการถวายฎีกาขอนายกฯ พระราชทาน จึงกระหึ่มเมืองในบัดดล และก่อให้เกิดปฏิกิริยามากมาย ที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว

ตอนหัวค่ำ ส.พิชิต ขึ้นปราศรัยบนเวทีที่สนามหลวง ย้ำว่า การถวายฎีกานั้น ไม่มีเรื่อง 8 ล้านรายชื่อ ไม่มีเรื่องขอนายกฯ พระราชทาน และไม่มีสำเนาฎีกาแจกสื่อ

ตกดึก สุชาติ ศรีสังข์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม ที่สังกัดกลุ่มพลังธรรมาธิปไตย ได้ปราศรัยอีกครั้งว่า เอกสารที่ไชยวัฒน์ ถืออ่านแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั้น ไม่ใช่สำเนาคู่ฉบับตัวจริง และมี "แกนนำสูงสุด" ของกลุ่มพลังธรรมาธิปไตยเท่านั้น ที่ได้เห็นเนื้อหาของฎีการ้องทุกข์

น้ำเสียงดุดันของสุชาติ แสดงออกชัดเจนว่า กลุ่มพลังธรรมาธิปไตย ไม่พอใจการล้ำหน้าหรือเลยธงของกลุ่มไชยวัฒน์ แถมมีตัดพ้อต่อว่า ในฐานะเป็น "ทัพหน้า" มานอนเสี่ยงภัยอยู่ในทุ่งพระเมรุ

วันอังคาร ตอนบ่ายๆ ที่ห้องมุจลิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พร้อมด้วย "ส.พิชิต" จึงร่วมกันแถลงข่าวปฏิเสธการยื่นถวายฎีกาขอนายกฯ พระราชทาน

ไชยวัฒน์แจงว่า การถวายฎีการ้องทุกข์ ทำตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 โดยประชาชนหวังพึ่งพระบารมี เพราะเห็นว่ากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งประชาชนที่มาร่วมลงนาม ก็ไม่มีการแสดงเจตนารมณ์ที่จะขอนายกฯ พระราชทาน

จบเรื่องนายกฯ พระราชทาน ก็มาถึงเรื่อง "ดาวแดงขลิบขอบเหลือง" ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำกองทัพปลดแอกฯ ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)

ว่ากันว่า ผู้อาวุโสใน พคท.ก็ตกอยู่ในภาวะ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" มีความรู้สึกไม่พอใจที่เห็น "กลุ่ม 7 สหาย" ยึดเอาเครื่องแบบ "ทปท." มาเป็นชุดประจำกลุ่มพลังธรรมาธิปไตย แต่ก็ไม่กล้าออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มดังกล่าว

ที่สำคัญ ส.ชัยรบ กับ ส.เกื้อ ที่เป็นแกนเปิดของกลุ่มพลังธรรมาธิปไตย ล้วนรู้จักมักคุ้นกับคณะกรรมการกลาง พคท.ชุดปัจจุบัน แต่วันนี้ สหายนำท้องถิ่นไม่ได้ขึ้นตรงต่อจัดตั้ง โดยหันไปขึ้นต่อ "แนวร่วมคนชั้นสูง" แทน

มิพักต้องพูดถึง ผู้อาวุโสของ พคท.อีกสายหนึ่ง ซึ่งได้แยกตัวออกจากคณะกรรมการกลางฯ ไปจัดตั้ง "พรรคประชาชนใหม่" ก็มีแถลงการณ์คัดค้านและประณาม "กลุ่มสหายฝ่ายอำมาตย์" มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว

สรุปว่า ดาวแดงขลิบขอบเหลืองในสถานการณ์ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มอุดมการณ์ประชาธิปไตยประชาชน , กลุ่มอุดมการณ์ประชาธิปไตยรวมศูนย์ และกลุ่มอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบไทย

จึงไม่แปลกที่ดาวแดงส่องสว่างเหนือสนามหลวงนั้น จะมีอุดมการณ์ "เพื่อชาติและราชบัลลังก์" แบบว่าพลิกมุมกลับ 360 องศา!