เปลี่ยนมุมคิด “สหกิจศึกษา” (จบ)

เปลี่ยนมุมคิด “สหกิจศึกษา” (จบ)

การฝึกงานหรือการหาประสบการณ์ในการทำงานของนิสิตนักศึกษาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น “สหกิจศึกษา” นั้นผมเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว

แต่จะทำอย่างไรให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด ก็คงต้องหาทางปรับระบบดังกล่าวให้เป็น 2 ทางที่เชื่อมโยงทั้งสถาบันการศึกษาและองค์กรที่เข้าร่วมโครงการให้มากขึ้น

นั่นคือแทนที่จะเป็นระบบที่ส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาได้เข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานจริงแต่เพียงด้านเดียว ก็น่าจะปรับระบบให้พนักงานหรือบุคลากรขององค์กรนั้นๆ ได้เพิ่มคุณวุฒิของตัวเองผ่านโครงการดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะส่งผลดีได้ไม่น้อยเนื่องจาก

1. สำหรับองค์กรที่เข้าร่วมโครงการอยู่แล้วก็ย่อมมั่นใจคนของตัวเอง และรู้สึกว่าเขาเป็นบุคลากรของบริษัทอยู่แล้วจึงพร้อมที่จะส่งเสริมและพัฒนาให้เขามีความสามารถยิ่งขึ้น เมื่อผนวกกับแนวทางการเติบโตในองค์กรแล้วก็น่าจะทำให้บุคลากรเห็นเป้าหมายในอนาคตได้ชัดเจนขึ้นด้วย

2. กรณีกลับกัน ที่เป็นนิสิตนักศึกษาเข้ามาฝึกงานในองค์กรและมีผลงานดีจนบริษัทเปิดโอกาสให้เข้ามาทำงานต่อ ก็จะยิ่งเป็นการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศได้อีก เพราะเรากำลังจะสร้างคนขึ้นมาโดยไม่ใช่จากระบบการศึกษาปกติเท่านั้น แต่เป็นการผนึกกำลังกันระหว่างเอกชนและรัฐบาล ระหว่างภาคธุรกิจจริงกับภาควิชาการ

การเอื้อให้โครงการเหล่านี้ขยายตัวได้ดีที่สุดจึงเป็นสิทธิประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย นั่นคือสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่บริษัทเข้าร่วมโครงการจะได้รับ และการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาที่น่าจะเป็นประโยชน์กับนิสิตนักศึกษาได้มาก

3. เปิดโอกาสให้คนรุ่นหนุ่มสาวเข้าสู่วิชาชีพได้โดยไม่ต้องลังเล เพราะมีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมได้เต็มที่ในภายหลัง โดยเฉพาะเยาวชนในต่างจังหวัดที่ไม่พร้อมจะเรียนต่อเนื่องจากขาดโอกาส ซึ่งแต่เดิมเขาจะเป็นได้เพียงแรงงานไร้ฝีมือซึ่งมีรายได้ต่ำและไม่มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานเลย

เราสามารถยกระดับให้คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถเข้าสู่แรงงานได้เร็วขึ้นในรูปแบบที่เขามีทางออกและยกระดับตัวเองได้ตลอด คือนอกเหนือจากเขาทำงานมีรายได้แล้ว เขายังสามารถเรียนวิชาที่จะยกระดับตัวเองให้เป็นแรงงานฝีมือตามความต้องการของอุตสาหกรรมได้

4. ก่อให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้จากการทำงานมาใช้เสริมวิชาการที่ได้เรียนมาในหนังสือ คือระหว่างทำงานหากเจออะไรที่เป็นเทคนิคต่างๆ อะไรที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน ก็กลายเป็นหัวข้อที่นำมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงกันได้

ผลที่ได้จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจริงๆ ไม่ได้อยู่แต่เฉพาะในห้องทดลองเท่านั้น นั่นคือการนำสิ่งที่เราทำงานอยู่มาประยุกต์กับทฤษฎีที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างทฤษฎีกับการทำงานจริง หากเกิดปัญหาขึ้นก็อภิปรายร่วมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ทำให้การเรียนตรงตามเป้าหมายกับงานที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นกระบวนการระหว่างนักศึกษากับครู โดยเฉพาะครูจะมีความสามารถเข้าใจว่าความต้องการของภาคธุรกิจจริงคืออะไร

แนวคิดเช่นนี้จะแตกต่างจากระบบการเรียนการสอนปัจจุบันที่เน้นการเรียนรู้จากตำรา ซึ่งในตำรานั้นก็มักจะรวบรวมข้อมูลมาจากอดีตแต่ต้องนำมาให้นักศึกษาใช้ทำงานในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเขาเอาไปใช้ทำงานจริงๆ ได้แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น