ความฝันและความ(ใฝ่)ฝัน (1)

ความฝันและความ(ใฝ่)ฝัน (1)

ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ฟังสุนทรพจน์ "I have a Dream" ที่มีชื่อเสียงของ Martin Luther King, Jr. ในคราวการเดินขบวนครั้งใหญ่

เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของคนผิวดำอเมริกา พ.ศ. 2506 ประโยคหนึ่งที่สำคัญได้แก่ การฝันถึงเสรีภาพและความยุติธรรมซึ่งเป็นรากฐานของความฝันของชาวอเมริกัน (I still have a dream, It is a dream deeply rooted in the American dream.) ซึ่งหมายความถึงความฝันของคนที่สอดคล้องไปกับความฝันของสังคม

ความหมายของคำว่า “ความฝัน” ในสุนทรพจน์นี้มีสัมพันธ์กับความคิดหลายประการ ได้แก่ ความสำนึกในความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องความเสมอภาคในสังคมที่ยังคงไว้ซึ่งความอยุติธรรมของความไม่เท่าเทียม แม้ว่าสังคมนั้นพยายามบอกแก่ทุกคนว่าเป็นดินแดนแห่งความเสมอก็ตาม ขณะเดียวกัน “ความฝัน” นี้ไม่ใช่นั่งฝัน/นอนฝันอยู่เฉยๆ หากแต่จะต้องมีปฏิบัติการของปัจเจกชนและกลุ่มทางสังคมเพื่อให้บรรลุซึ่งความฝันนั้น

ผมหยิบสุนทรพจน์นี้มาเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม ความหมายที่ฝังอยู่ในคำแต่ละคำ ก็จะแปรเปลี่ยนไปเพื่อทำหน้าที่ทางสังคมแบบใหม่แม้ว่าจะใช้คำๆ เดิมอยู่ก็ตาม

“ความฝัน” ในยุคก่อนสมัยใหม่ทุกแห่งบนพื้นที่โลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็น "ความฝัน" ที่เกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับของคนและเป็นความฝันของปัจเจกชน (พูดง่ายๆ ก็คือ หลับแล้วฝัน) ความฝันทั้งหมดของคนในยุคสมัยก่อนจะถูกให้ความหมายว่าเกิดขึ้นมาเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติได้เข้ามาบอกอนาคตที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย อำนาจเหนือธรรมชาติที่เข้าสร้างความฝันนี้มีทั้งเทพเจ้า ภูตผี ผีบรรพบุรุษ และเทพประจำพื้นที่ แล้วแต่ละสังคมจะเคารพนับถืออะไร

การทำนายฝันที่เกิดขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติจึงเป็นการทำนายว่าลักษณะความฝันนั้นๆ จะเป็นภาพหรือเหตุการณ์อะไรในอนาคต เช่น ในตำราพรหมชาติของไทย (หรือที่คนไทยรับรู้กันโดยทั่วไปแม้ว่าไม่อ่านตำราพรหมชาติ) หากฝันว่าฟันหัก ก็หมายความว่าจะมีญาติสนิทเสียชีวิต แม้ว่าความฝันที่นำมาทำนายจะเป็นของแต่ละคนและคำทำนายความฝันก็เป็นการทำนายอนาคตของคนคนเดียว แต่คำทำนายก็จะเป็นการทำนายที่เน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมของคนกับสรรพสิ่งรอบตัว

ความฝันจึงถูกทำให้เป็นภาพเหตุการณ์หรือความเปลี่ยนแปลงในระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตที่คน/มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่างมากก็คือทำใจรับกับความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ความฝันและความหมายของความฝันลักษณะนี้เกิดขึ้นในสังคมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวทางสังคมมากนัก และโอกาสในการที่คนจะเลื่อนชนชั้นเป็นไปได้ยาก พร้อมกันนั้น คนทั้งหมดเชื่อว่าวิถีชีวิตของตนก็ถูกกำหนดมาแล้วจากอำนาจเหนือชาติทั้งหลาย เช่น กรรม ความฝันและความหมายของความฝันจึงเป็นเพียงการบอกกล่าวในแต่ละจังหวะหรือแต่ละจุดของชีวิตที่จะต้องเป็นไปในอนาคตตามผล/การกำหนดของอำนาจเหนือธรรมชาติ

การหลับแล้วฝันหรือความฝันยังคงมีอยู่กับคนตลอดมา แต่ความหมายของความฝันและความหมายของคำว่า “ความฝัน” เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายในระยะต่อมา

คำว่า “ความฝัน” ถูกทำให้เกิดความหมายใหม่ที่ซ้อนทับความหมายเดิมเอาไว้ เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและทำให้เกิด “โลกสมัยใหม่” ขึ้นมา การเดินทางเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ๆ พร้อมกับการเกิดสำนึกในศักยภาพของมนุษย์อันนำมาซึ่งสภาวะการเริ่มสลัดหลุดจากการกำหนดชีวิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ

“ความฝัน” จึงเริ่มถูกแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกยังคงเป็น “ความฝัน” ของปัจเจกชนที่หลับและฝันไป ซึ่งยังคงใช้หลักเกณฑ์การทำนายฝันแบบเดิม ส่วนที่สอง เริ่มกลายเป็น “ความ(ใฝ่)ฝัน” ที่จะสร้างอนาคตของคนและสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ความฝันที่จะพบดินแดนใหม่ที่เต็มไปด้วยทองและจะนำทองกลับดินแดนของตน ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็มองว่าเป็น "ความ(ใฝ่)ฝัน" ที่เป็นไปไม่ได้

ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อปรมาจารย์ทางจิตวิทยา Sigmund Freud ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Interpretation of Dream ข้อถกเถียงในการทำความเข้าใจ "ความฝัน" ของบุคคลก็หันเหไปสู่กระบวนการทำความเข้าใจการทำงานของจิตวิทยาปัจเจกชน และเริ่มลดทอนความสำคัญของการทำนายฝันแบบเดิมลงไป

พร้อมกันนั้นเอง การขยายตัวของกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนคำอธิบายปรากฏการณ์รอบตัวมนุษย์ให้มาสู่ความจริงเชิงประจักษ์มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้การอธิบายความฝันแบบเดิมหมดพลังลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญในความสัมพันธ์ทางสังคมของสังคมนั้นๆ เช่น ที่เหลืออยู่ในสังคม ได้แก่ ฝันเห็นงู ฝันว่าฟันหัก เป็นต้น

การใช้คำเดิมคือ “ความฝัน” ในความหมายใหม่ได้เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อสังคมเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่สูงมากขึ้น การเลื่อนชนชั้นเป็นไปได้สะดวกมากขึ้น มนุษย์เริ่มรู้สึกว่าสามารถกำหนดชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของตนเองได้มากขึ้น พร้อมกันนั้นเอง โลกก็ได้ให้ความหมายใหม่ที่เน้นความสำเร็จที่มนุษย์สามารถจะกระทำขึ้นมาได้

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงนี้ “ความฝัน” จึงมีความหมายใหม่ที่เป็นเสมือนเป้าหมายในอุดมคติที่คนวาดหวังเอาไว้ และจะต้องพยายามดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายนั้น

ความสร้างความหมายใหม่ซ้อนทับไปในคำเดิม (ไม่ว่า "ความฝัน" ในภาษาไทย "Dream" ในภาษาอังกฤษหรือ " yume" ในภาษาญี่ปุ่น) ก็ได้ทำให้เกิดการสื่อสารความหมายที่ซับซ้อนมากขึ้น และความซับซ้อนนี้ก็จะกำกับระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนตามไปด้วย

ขอต่อคราวหน้านะครับ