เศรษฐกิจอิสลามในประเทศไทย

เศรษฐกิจอิสลามในประเทศไทย

ในยุคปัจจุบันที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นเหตุผลสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ

แนวคิดเศรษฐศาสตร์ในอิสลามจึงได้รับความสนใจมากขึ้นในหลายประเทศเศรษฐศาสตร์อิสลามที่วางรากฐานอยู่บนความศรัทธาในพระเจ้าแบ่งแนวทางการใช้ชีวิตของมุสลิมออกเป็นอย่างน้อย 2 ระดับ คือ ฮาลาล และฮารอม ฮาลาลหมายถึงสิ่งที่อนุมัติให้ปฏิบัติได้ ฮารอมหมายถึงสิ่งที่ไม่อนุมัติให้ปฏิบัติหรือเกี่ยวข้องในทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น

ประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอิสลามในอย่างน้อยสองเรื่องคือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องฮาลาล และระบบการธนาคารและการเงินอิสลามที่ต้องไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฮารอม เช่น ดอกเบี้ย อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ฮาลาลสิ่งมึนเมา (ยาเสพย์ติด สุราและยาสูบ) การพนัน การผูกขาด การกักตุนสินค้า การทำลายสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมอื่นๆ ที่เอารัดเอาเปรียบและสร้างความเสียหายแก่ส่วนรวม

การส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยเน้นการส่งออกอาหารไปยังกลุ่มประเทศมุสลิม เพื่อเพิ่มรายได้จากการส่งออกประโยชน์สำคัญของการส่งออกอาหารคือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งหมายถึงการจ้างงานและการสร้างรายได้แก่คนจำนวนมาก แต่ก็ยังมีปัญหาที่เป็นคอขวดอยู่จำนวนหนึ่ง เริ่มต้นจากประเด็นที่ว่าการส่งออกเป็นอุปทานส่วนเกิน ซึ่งหมายความว่าผลผลิตอาหารฮาลาลต้องได้รับความเชื่อถือและสามารถตอบสนองอุปสงค์ในประเทศของมุสลิมไทยอย่างน้อย 4 ล้านคนหรือร้อยละ 6 ของประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน ได้เสียก่อน ส่วนที่เกินจึงส่งออกสู่ตลาดโลก ประเด็นที่สองคือการกระจายผลได้จากการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล ใครคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมนี้ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก และมีความพยายามสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการมุสลิมว่าฮาลาลอยู่แล้วมากน้อยเพียงใด

นี่ยังไม่รวมความเข้าใจคำว่า “ฮาลาล” และ “เครื่องหมายฮาลาล” ที่ยังคงเป็นความเข้าใจในลักษณะคนละเรื่องเดียวกัน ทั้งๆ ที่มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตมีความมากน้อยแตกต่างกัน ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์ และการได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล

ยังไม่รวมการมองตลาดอาหารฮาลาลอย่างเหมารวมทั้งๆ ที่ควรแยกตามกำลังซื้อและลักษณะเฉพาะอื่นๆ ของแต่ละตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดอาหรับ ตลาดเอเชีย (โดยเฉพาะอาเซียน) และตลาดแอฟริกา

ในด้านการธนาคารและการเงินอิสลาม กลไกสำคัญของประเทศไทยประกอบด้วยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการธนาคารตามหลักชารีอะฮฺหรือกฎหมายอิสลามเต็มรูปแบบ (Full Fledged) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสินที่ให้บริการตามหลักอิสลามเป็นบางส่วน (Islamic Window) ความจำเป็นต้องมีบริการธนาคารและการเงินที่ไม่ขัดต่อหลักอิสลามเกิดจากการที่ธนาคารและสถาบันการเงินในรูปแบบธรรมดาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฮารอมหรือต้องห้ามสำหรับมุสลิม จึงปิดกั้นมุสลิมจากการใช้บริการ ประโยชน์อื่นๆ ของการธนาคารและการเงินอิสลามมีไม่น้อย

ในด้านหนึ่ง ทรัพย์สินเงินทองของมุสลิมที่ไหลเข้ามาในระบบ จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตผ่านการเพิ่มเงินออมและการลงทุน ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าการธนาคารในรูปแบบธรรมดาในประเทศต่างๆ มีปัญหาที่มีคนแปลเป็นภาษาไทยว่าจรรยาสามาลย์ (Moral Hazard) และคัดสรรรันทด (Adverse Selection) อยู่มาก จึงมีความอ่อนไหวและมีความเสี่ยงต่อวิกฤติการทางการเงินมากกว่าการธนาคารอิสลาม ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในตราสารธรรมดาก็มีมูลค่าความเสี่ยง (Value at Risk) สูงกว่าการลงทุนในตราสารอิสลามหรือศุกุกซึ่งเป็นตราสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย แต่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ

ระบบการเงินและการธนาคารอิสลามมีการดำเนินงานที่รู้จักกันโดยทั่วไปอยู่สามรูปแบบ คือ มูรอบาฮะฮฺมูดอรอบะฮฺ และมูชารอกะฮฺ ถ้ามองข้ามความไม่คุ้นเคยในภาษาแล้ว การมีธุรกรรมทางการเงินกับระบบการเงินและการธนาคารอิสลามก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อนจนเกินกว่าศาสนิกอื่นจะเข้าใจได้มูรอบาฮะฮฺ หมายถึง การตกลงซื้อขายสินค้าในราคาขายที่เท่ากับต้นทุนบวกกำไร ซึ่งเป็นราคาขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายเห็นชอบร่วมกัน โดยผู้ซื้อผ่อนชำระคืนให้กับผู้ขายเป็นงวดๆ ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้จนกว่าจะครบตามราคาขายมูดอรอบะฮฺหมายถึงการเป็นหุ้นส่วนโดยธนาคารทำหน้าที่คนกลางนำเงินทุนจากผู้ฝากไปให้ผู้ประกอบการที่มีความสามารถลงทุน และนำผลกำไรที่ได้รับมาแบ่งกับผู้ฝากซึ่งเป็นเจ้าของเงินทุน แต่ถ้าขาดทุน ผู้ประกอบการจะไม่ได้รับผลตอบแทนในขณะที่ผู้ฝากรับภาระการขาดทุนซึ่งธนาคารมักจะร่วมรับผิดชอบเพื่อไม่ให้ผู้ฝากต้องรับภาระที่เกิดขึ้นทั้งหมดมูชารอกะฮฺคือ การที่ผู้ฝากเข้าร่วมทุนกับธนาคารและผู้ประกอบการในกิจการใดกิจการหนึ่งเพื่อแสวงหาผลกำไร เมื่อมีกำไร (หรือขาดทุน) ก็จะนำมาแบ่งกันในระหว่างผู้ร่วมทุนทุกรายตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกัน

นอกจาก สามรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ยังมี ไบสะลาม อิจรอฮฺอิสตินา และอื่นๆ อีกหลายรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดเป็นการแสวงหารายได้จากการค้าขายและการลงทุน ที่ทุกฝ่ายมีข้อมูลตรงกัน (Symmetric Information) ร่วมรับผลกำไรหรือขาดทุนอย่างยุติธรรม ซึ่งเป็นหลักการของอิสลาม ไม่ใช่การแสวงหารายได้จากการค้าขายที่หลอกลวง ฉ้อฉล ปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และระบบดอกเบี้ยที่ขูดรีด

อย่างไรก็ตาม การประกอบกิจการและการพัฒนาการเงินและการธนาคารตามหลักอิสลามไม่ได้ปราศจากอุปสรรคเสียทีเดียว เพราะในขณะที่เศรษฐกิจอิสลามที่แท้จริงเกิดจากความศรัทธาต้องมีคุณธรรม และเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน แต่แรงผลักสำคัญที่ทำให้หลายๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอิสลามกลับมีแต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ขนาดของตลาดจากจำนวนประชากรมุสลิมโลกเกือบ 1,800 ล้านคน ซึ่งประมาณ 300 ล้านคนอยู่ในอาเซียน และกำลังซื้อของประเทศมุสลิมหลายประเทศที่ร่ำรวยจากการค้าน้ำมันการไม่ได้ใช้ระบบเศรษฐกิจอิสลามตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง โดยพยายามผสมกลมกลืนกับระบบธนาคารธรรมดาและเบี่ยงเบนออกจากแนวทางที่ควรจะเป็นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้การพัฒนาการเงินและการธนาคารอิสลามในบางประเทศต้องชะงักงัน

นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคจากการขาดการพัฒนาตลาดเงินอิสลาม และข้อจำกัดทางกฎหมายที่มีอยู่เดิมเช่น ในกรณีของประเทศไทย ภาระภาษีซ้ำซ้อนที่ระบบธนาคารอิสลามต้องแบกรับ ทำให้มีต้นทุนสูงกว่าปกติ พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 ที่ยังไม่เปิดเสรีให้มีการดำเนินกิจการธนาคารในระบบอิสลามเต็มรูปแบบ (Full Fledged) โดยผู้ลงทุนรายอื่น ทั้งที่อยู่ในประเทศไทย และมาจากต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และโลกอาหรับ


เพียงอีกปีเศษๆ นับจากวันนี้ การรวมตัวของประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้น การสร้างความพร้อมผ่านการเรียนรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเศรษฐกิจอิสลามจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันและร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมอาเซียนที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันกับเรา ซึ่งเมื่อการรวมตัวของประชาคมโลกกว้างขวางขึ้น เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับโลกมุสลิมซึ่งมีประชากรประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรโลกได้โดยง่าย