สังคมหน้ากาก

ผมเห็นปรากฏการณ์ของ หน้ากาก กาย ฟอว์กส์ (Guy Fawkes mask) ในแวดวง social media แล้ว
ก็เกิดคำถามว่านี่เป็นวิถีแห่งการแสดงออกของ “สังคมหน้ากาก” ไทยในอีกรูปแบบหนึ่งหรือไม่
แง่หนึ่งอาจจะเพราะความอัดอั้นตันใจของคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่อึดอัดกับสภาวะบ้านเมือง และเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็น “ไทยเฉย” ที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเป็นไปของบ้านเมือง พอใครย้อนคิดถึงหนังเรื่อง “V for Vandetta” จึงเกิดอารมณ์ร่วมที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจกับเหตุการณ์ในบ้านเมืองขึ้นมา
และเมื่อมีความรู้สึกร่วม ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้คนในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์จะส่งต่อความคิดอ่านเช่นนั้นต่อๆ กันไป จึงกลายเป็น “ความเคลื่อนไหว” ทางสังคมที่น่าติดตาม น่าวิเคราะห์ว่า “ความไม่พึงใจร่วม” เช่นนี้ จะกระจายตัวต่อเนื่องไปในทิศทางใด
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “หน้ากากขาว” นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง ไม่เห็นพ้อง และเรียกร้องให้ผู้เห็นทำนองเดียวกันมาร่วมแสดงออกอย่างสันติ สงบ และแฝงด้วยความหมายด้านสังคม
Guy Fawkes ในประวัติศาสตร์อังกฤษ คือ ผู้วางแผนลอบสังหาร พระเจ้าเจมส์ที่ 1 เพราะต้องการให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับโปรเตสแตนต์ อีกทั้งยังเป็นสัญญาณต่อต้านรัฐบาลที่ปกครองประเทศด้วยอำนาจตามอำเภอใจ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เขาถูกจับ และโดนประหารชีวิต
หน้าของเขากลายเป็นหน้ากากของผู้รวมตัวต่อต้านประท้วงสิ่งไม่ชอบมาพากล เริ่มต้นที่ผมเห็นก็เป็นหน้ากากในขบวนพาเหรดต่อต้านบางประเด็น ต่อมากลายเป็นหน้ากากสะท้อนความเห็นต่างที่รวมตัวกันเพื่อแสดงออกอย่างเป็นเอกภาพ
กรณีของ ไทย เป็นสิ่งที่คาดหมายว่าจะเกิดได้ และไม่ต้องแปลกใจ หากเมื่อมี “หน้ากากสีขาว” ก็จะมี “หน้ากากสีแดง” ปรากฏตัวขึ้นมาสะท้อนความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
หน้ากากสองสี จึงไม่ใช่เรื่องต้องประหลาดใจอะไร เพราะเท่ากับยืนยันว่าสังคมไทยยังอยู่ในภาวะที่ขยับไปไหนไม่พ้น เพราะว่าทุกอย่างสะท้อนถึงความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกมากขึ้นทุกวัน
มีคนถามผมว่าปรากฏการณ์หน้ากากขาว “จุดติด” หรือไม่?
ผมตอบว่า ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่ “จุดติด” หรือไม่ หากแต่อยู่ที่ว่าเราจะซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากากได้นานเท่าใด
สังคมไทยเป็น “สังคมหน้ากาก” มาช้านาน โดยไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากจากต่างประเทศเลย และคนจำนวนไม่น้อยมีมากกว่าหนึ่งหน้ากาก เพื่อทำให้ตนเองสามารถเอาตัวรอดในการใช้ชีวิต ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรอบด้าน
ดังนั้น การใส่หน้ากากจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกพิสดาร แต่การใส่หน้ากากเพื่อแสดงออกร่วมกันในสังคม เป็นเรื่องใหม่ที่ควรแก่การวิเคราะห์แยกแยะออกจากกัน
แต่เดิม คนไทยใส่หน้ากากเข้าหากัน เพื่อจะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายหนึ่งในบางเรื่องบางราว แปลว่า พฤติกรรมจริงๆ ของตนเองไม่ได้เป็นเช่นหน้ากาก แต่ต้องการจะแฝงทัศนคตินั้นเอาไว้ เพราะว่าอาจจะไม่เป็นผลดีสำหรับตน
เมื่อต่างฝ่ายต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน เราก็ได้สังคมหน้ากากที่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และทุกอย่างก็ดำเนินไปบนพื้นฐานของการตีความตามสีหน้าบนหน้ากากนั้นๆ โดยที่ลึก ๆ แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กับสิ่งที่เป็นจริงนั้น มิใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป
วันนี้ “หน้ากาก Guy Fawkes” กลับข้าง กับพฤติกรรมเช่นนั้น นั่นคือ การเอาความรู้สึกลึกๆ ที่เป็นจริง แต่ไม่กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผยนั้น มาสำแดงบนหน้ากากเหมือนๆ กัน
ซึ่งก็ยังตอกย้ำอยู่ดีว่า คนไทยวันนี้ ใช้หน้ากากเพื่อซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง ที่ไม่ต้องการจะแสดงออกโดยตรง
ทำนองว่า “รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” แต่มิอาจสื่อสารอย่างเปิดเผยได้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
ผมไม่ได้บอกว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ ดีหรือเลว ถูกหรือผิด น่าสนับสนุนหรือต่อต้าน ผมเพียงมองจากแง่มุมของคนชอบ “หน้ากากผี” ตั้งแต่เด็กๆ เท่านั้นเอง







