ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ 7

ในสังคมวัฒนธรรมไทยมีคำกล่าวร่วมสมัยอยู่วลีหนึ่งเมื่อพูดออกไปแล้วก็เป็นอันรู้กันว่า เป็นถ้อยคำเหน็บแนมในเรื่องไร้สาระ
นั่นคือ วลีที่ว่า “พูดเป็นการ์ตูนไปได้” ซึ่งหมายถึงการพูดแบบเลื่อนลอย ไม่มีหลักฐาน หรือ พูดเพ้อเจ้อเชื่อถือไม่ได้ เป็นต้น บนพื้นฐานเชิงอัตลักษณ์นั้น อะไรที่เป็นไปได้กลับเกิดขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อในการ์ตูน การ์ตูนการเมืองจึงเป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์ สร้างสรรค์ เสียดสี โจมตี เยาะเย้ยและประชดประชัน โดยเคลือบแฝง หรือ แสดงออกด้วยพลังของอารมณ์อันหลากหลายอย่างมีศิลปะ
ปฐมบทแห่งภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์สยามเกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. 2460 เนื่องจากรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัยในศิลปะการเขียนภาพล้อและโปรดเกล้าฯ ให้แปลความหมายของคำว่า “Cartoon” เป็นคำไทยว่า “ภาพล้อ” และใน พ.ศ.2461 รัชกาลที่ 6 ได้ทรงริเริ่มออกหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิต ที่มีลักษณะเด่น คือนำภาพล้อบุคคลต่างๆ มาตีพิมพ์ด้วยเสมอ
สมัยนี้มีความพยายามที่จะออกกฎหมายเพื่อควบคุมหนังสือพิมพ์กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พุทธศักราช 2465 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 30 มกราคม พ.ศ. 2465 นั้นต้องใช้เวลาในการร่างกฎหมายนับแต่ริเริ่มมีการนำเสนอประเด็นนี้มากกว่าสิบปีหลังจากกรณีกบฏ ร.ศ. 130 สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ที่ได้รับการอภิปรายในช่วงนั้นก็คือ การนิยามความหมายของคำว่า “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ในมาตรา 5 ซึ่งสร้างปัญหาและความกังวลใจอย่างมากกับแวดวงหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ดี ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านในสมัยนั้นมาก เพราะนอกจากจะเสนอภาพเพื่อดึงดูดความสนใจผู้อ่านแล้ว ภาพล้อยังใช้วิพากษ์วิจารณ์เสียดสี
ในปีหลังๆ ของการเสียดสีด้วยภาพการ์ตูนสมัยรัชกาลที่ 6 หลัง พ.ศ. 2465 หนังสือพิมพ์ได้มีการใช้การ์ตูนและภาพล้อการเมืองมากขึ้น ทั้งในฐานะภาพประกอบความคิดเห็นและการวิจารณ์ในบทบรรณาธิการ พัฒนาการของการ์ตูนและภาพล้อทางการเมืองมีลักษณะใกล้เคียงกับการเขียนภาพลายเส้นในงานโฆษณา การ์ตูนของหนังสือพิมพ์ถูกตีพิมพ์คู่กับบทบรรณาธิการ ภาพการ์ตูนถูกใช้สนับสนุนบทความ โดยนักเขียนภาพล้อได้ใช้ความสามารถในการนำเสนอความหมายผ่านภาพประกอบคำคมหรือภาษิตง่ายๆ การ์ตูนแต่ละภาพมีความล้ำยุค เข้าใจง่ายและแหลมคมกว่าบทความที่เป็นเป้าหมายหลักของการวิพากษ์วิจารณ์การ์ตูนการเมือง
ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีนักเขียนบทความนิรนามในหนังสือพิมพ์ ไทยหนุ่ม ไทยใหม่ ศรีกรุง ปากกาไทย หลักเมือง กัมมันโต ราษฎรและสยามรีวิว ฯลฯ นับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 2460 ต่อเนื่องมาจนถึงทศวรรษที่ 2470 ได้แสดงความคิดเรื่อง "ชาติ" ทางการเมือง อย่างสำคัญในลักษณะที่มุ่งให้ "ชาติ" ซึ่งหมายถึงราษฎร หรือประชาชนที่มีสายสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งเดียวก้าวขึ้นมามีบทบาทและอำนาจทางการเมืองเป็นเจ้าของรัฐ
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสั้นๆ ปลายปี 2469 การวิพากษ์วิจารณ์ของหนังสือพิมพ์ที่มีต่อราชสำนักลดน้อยลงเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการลดพระราชอำนาจเพื่อแสดงภาพลักษณ์ของรัฐบาลว่าจะเป็นผู้ปฏิรูปการเมืองการปกครอง พร้อมทั้งมีข่าวลือแพร่ออกไปในกรุงเทพฯว่า อภิรัฐมนตรีสภาเป็นก้าวแรกของการมีสภาร่างกฎหมายแบบ “สภาขุนนาง” และอาจจะมีสภาสามัญชนตามมาในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่กษัตริย์พระองค์ใหม่และเสนาบดีกำลังแก้ปัญหาเงินงบประมาณของประเทศ รัฐบาลก็ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางต่อความรับผิดชอบทางการคลังเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในระยะ 2-3 เดือนต่อมา ความเห็นอกเห็นใจต่อกษัตริย์พระองค์ใหม่เริ่มเหือดหายและมีสัญญาณของความสงสัยเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงต่างจากรัชกาลที่ 6 หรือไม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนักเขียนยืนยันว่าการที่รัชกาลที่ 7 จะนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เช่น “บางรัชกาลเศรษฐกิจถูกทำลาย บางรัชกาลเศรษฐกิจก็หยุดชะงัก” ในทำนองเดียวกันในเดือนมีนาคม นักเขียนอิสระคนหนึ่งเสียดสีว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองจะสนใจหาอนุภรรยามากกว่าจะ “รักษาสัญญา” และ “เดินหน้าเรื่องการปฏิรูป” ในเดือนเมษายน นักเขียนอธิบายถึงการริเริ่มของรัชกาลที่ 7 ว่า ดำเนินการแบบ “ปัดกวาดบ้านเมือง” โดยกลุ่มคนที่ “ใช้เวลามากกว่าปกติในการรักษาอำนาจตำแหน่งของพวกเขามากกว่าจะรักษาสิทธิของพลเมือง” เพราะคนที่มีความสุขอยู่กับอำนาจและเคยชินกับการครอบครองอำนาจมักจะไม่ค่อยยอมรับกับการลดอำนาจ แม้ว่าเขาตั้งใจที่จะทำงานเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน
ภายใต้ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผลที่ตามมาและมิอาจคาดเดาได้ ในต้นปี พ.ศ. 2469 หนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยเรื่องการกล่าวหาบรรดาผู้ทรงอำนาจซึ่งกำลังใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายเพื่อขุดรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามและปกป้องพวกพ้องบริวารของตน นักเขียนคนหนึ่งเสนอว่า “มิใช่เจตนาของรัฐบาลในการดุลยภาพแต่เป็นการดุลยพวก” คือการดุลพวกพ้องแทนการประหยัดงบประมาณ ในขณะที่การเมืองถูกทำให้เชื่อว่า อยู่ห่างไกลจากมือของประชาชนที่จะเข้ามากล่าวหาซึ่งกันและกันและชโลมเลือดและบริวารของพวกเขาจำนวนมากเพื่อให้ได้กลับมาดำรงตำแหน่งเช่นเดิมในเครือข่ายหน่วยงานของรัฐบาล ปรากฏว่าบรรดาผู้ที่ถูกปลดปล่อยออกจากระบบราชการ คือ “คนที่ไม่มีอำนาจวาสนา...คนที่เคยทำงานต่างๆ ทั้งหมด” ในทางกลับกันข้าราชการที่ยังคงดำรงตำแหน่งในรัฐบาลกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “คนเหมาะสมต่อการได้รับแต่งตั้งให้มาปล้นสะดมและทรยศต่อชาติ” ผู้ซึ่งทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเงินของประชาชน
นักวิชาการต่างประเทศอาจนำเสนอให้เกิดความรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2475 เกิดจากพลังของขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ คือ “The People Party” โดยอ้างหลักฐานจากการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ความเป็นไปด้านต่างๆ ข้างต้นรวมถึงความขัดแย้งทางความคิดระหว่างรัฐบาล (เจ้านาย ขุนนาง) กับ ปัญญาชน (ข้าราชการหัวก้าวหน้าและนักคิดนักเขียน) ภายใต้การประจักษ์ของผู้รู้หนังสือ หรือ ผู้ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการบ้านการเมือง
อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์ให้ลึกถึงการแพร่หลายของผลกระทบที่เกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์โดยคำนึงถึงจำนวนการตีพิมพ์จำหน่ายของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับจะพบว่า มีผู้รู้หนังสือเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่สามารถรับ “สื่อ” ทางความคิดได้จากหนังสือพิมพ์เหล่านี้ ดังนั้น บันไดซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นอกเหนือจากจะใช้มายาภาพของการ์ตูนการเมืองมาเป็นเครื่องมือบั่นทอนความชอบธรรมของสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังมีการใช้ “กลลวง” กับกำลังทหารของฝ่ายตนว่าเป็นการเคลื่อนกำลังไป “ฝึก” ภารกิจทางยุทธวิธี เพื่อรักษาความลับมิให้แพร่งพรายออกไปอย่างได้ผลด้วย การ์ตูนการเมืองจึงถือเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญไม่น้อยกว่าศิลปะแขนงต่างๆ ที่เคยถูกนำไปใช้ทางการเมืองอย่างหลากหลายในประวัติศาสตร์การเมืองไทย







