ความรู้สึกกับจริยธรรมในรัฐ/สังคมจารีต

การก่อตัวขึ้นเป็นรัฐย่อมต้องการระเบียบทางสังคมชุดหนึ่งเพื่อจรรโลงระบบของสังคมให้ดำเนินต่อเนื่องไปได้
ในรัฐจารีตที่อำนาจรัฐไม่ได้เข้มแข็งและไม่ได้กระจายลงไปสู่ตัวบุคคลอย่างชัดเจนอย่างเช่นรัฐสมัยใหม่ รัฐจารีตจะสร้างความคิดชุดหนึ่งที่จะซึมลึกเข้าไปสู่ภายในระบบอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนเพื่อที่จะสามารถควบคุมผู้คนให้รวมอยู่ร่วมกันภายในรัฐได้
ความคิดหลักในการสร้างรัฐจารีตขึ้นมาไม่ได้เพียงแค่การสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้ทำให้คนที่อยู่ในรัฐต้องยอมรับในอำนาจรัฐอย่างยินยอมพร้อมใจด้วย อันทำให้เกิดระเบียบของสังคมขึ้นมา การทำให้คนยอมรับในอำนาจรัฐไม่สามารถทำได้ด้วยการใช้อำนาจบังคับ หากแต่ต้องทำให้คนสยบยอมอำนาจรัฐด้วยความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังจริยธรรมที่ควรและไม่ควรกระทำต่อผู้อื่นในชุมชน/สังคม พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างความหวังของผู้คนที่หวังจะจะไปได้สูงที่สุดในแต่ละยุคสมัย
ร่างกายของมนุษย์ในสังคมจารีต (ก่อนหน้าสมัยรัชกาลที่ 4) เป็นเพียง “ที่ประชุมแห่งธาตุทั้งสี่ คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย ใช่ตัวใช่ตนของอาตมา จะเป็นแก่นเป็นสารแต่สักสิ่งหาบมิได้” ส่วนจิตและเจตสิกนั้น ก็เกิดจากองค์ประชุมของวิญญาณ สัญญา และสังขาร “สัญญา” หมายถึงการหมายรู้สิ่งต่างๆ ที่เคยรับรู้มาแล้ว “สังขาร” หมายถึงพลังปรุงแต่งให้เกิดแรงโน้มที่จะประกอบกรรมขึ้น เจตสิก คือ อารมณ์ที่เกิดจาก “เวทนา” หมายถึงความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบ มนุษย์เป็นที่ประชุมของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือ เบญจขันธ์ ซึ่งเป็นผลมาจากอดีตกรรม “ขันธ์ซึ่งบังเกิดในภาพเบื้องหน้านั้นเป็นขันธ์อันบังเกิดขึ้นใหม่ แต่ทว่าอาศัยมีกรรมในอดีตภาพเป็นปัจจัยบ้าง...มีกรรมในปัจจุบันภพเป็นปัจจัยบ้าง”
การดำรงอยู่ของมนุษย์นั้นเป็นทุกข์ เพราะความไม่รู้และจมอยู่ในความรู้สึกของความไม่รู้ “โมหะอันปกปิดปัญญาพิจารณาเห็นไตรลักษณ์” ความไม่รู้ในลักษณะของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และมรรควิธีที่จะดับทุกข์ จึงทำให้มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น และเมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ก็ทำให้เกิดความรู้สึกด้านเลว (อกุศลมูล) ขึ้นมา ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อกุศลมูลนี้ทำให้มนุษย์ “มีจิตยังเดือดร้อนอยู่ด้วยกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ ยังกระสับกระส่ายทุรนทุรายด้วยอกุศลวิตกทั้งสาม ได้แก่ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก” อกุศลมูลนี้จะ “ไหม้..เผาสันดานผู้นั้นให้เดือดร้อนพลุ่งพล่าน” ยังส่งผลที่สำคัญยิ่งได้แก่ “กระทำผู้อื่นเดือดร้อนต่อภายหลัง”
เมื่ออธิบายร่างกายและการดำรงอยู่ของมนุษย์ว่าเป็นทุกข์เช่นนี้ การสร้างความหวังให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ก็เป็นแนวทางในการควบคุมความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ ได้แก่ “พระนิพพานนี้เป็นที่บรรเทาเสียซึ่งกระวนกระวายอันบังเกิดแต่เพลิงราคะ โทสะ และโมหะ”
การบำเพ็ญทาน การรักษาศีล และการบำเพ็ญสมาธิจึงเป็นวัตรปฏิบัติที่จะทำให้มนุษย์รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึก และควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นอกุศลมูลได้ การบำเพ็ญทานจะทำให้ได้ “กุศลมูล คือ อโลภะบังเกิดขึ้นในสันดาน อโทสะบังเกิดกล้าหาญ ไม่หวงแหน” การรักษาศีลผูกพันอยู่กับอโทสะอันได้แก่ ความไม่โกรธ ซึ่งเชื่อมต่อไปยังความเมตตา ซึ่งทำให้ “ปราศจากเวราพยาบาล โดยต่ำแต่ผรุสวาท คำหยาบนั้นก็จักบ่มีอาจที่จะกล่าวได้” “ศีลเป็นนี้ชำระเสียได้ซึ่งมลทินภายใน คือ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต”
การบำเพ็ญทานและการรักษาศีลเป็นพื้นฐานให้แก่การบำเพ็ญสมาธิเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์เพราะเกิดปัญญา “เมื่อปัญญาบังเกิดมีในสันดานแล้วก็ปราศจากหลง...เห็นบาป เห็นบุญ เห็นคุณ เห็นโทษ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” การควบคุมความรู้สึกจึงเป็นหนทางไปสู่ความหวังสูงสุดอันได้แก่ พระนิพพาน ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความหวังที่จะจรรโลงให้คนได้ประพฤติธรรมแม้ว่าอาจจะไม่สามารถหวังถึงพระนิพพานได้ ก็วังได้ถึงการไปเกิดใหม่ในยุคพระศรีอริยเมตไตรย โดยอธิบายคุณลักษณะของคนที่จะได้พบและไม่ได้พบพระศรีอริยเมตไตรยไว้อย่างชัดเจน
ความคิดเรื่องเวลาของสังคมจารีตผูกพันกับความคิดเรื่องพื้นที่ของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ และสัมพันธ์กับความหมายของร่างกายและชีวิตของมนุษย์ เพราะเวลาของชีวิตมนุษย์ที่ไม่เกินร้อยปีนั้นเป็นเวลาที่มีลักษณะอนิจจัง และจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในเวลาของสังคมมนุษย์ซึ่งยาวนานเป็นกัลป์ ซึ่งเวลาก็เป็นอนิจจังเช่นเดียวกัน คือ เวลาที่มีความหมายต่อมนุษย์ก็ยืนยาวอยู่ได้เพียง 5,000 ปี ในยุคของพระมหาสมณะโคดม พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 แห่งภัทรกัลป์ ซึ่งเป็นเวลาที่สังคมค่อยๆ เสื่อมลงๆ ทุกทีจนถึงกลียุคที่มนุษย์ต้องล้มตายลง
ความคิดเรื่องพื้นที่ของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ ก็เป็นการสร้างความหวัง/แรงจูงใจทางความรู้สึกให้แก่มนุษย์ที่จะได้ใฝ่ปฏิบัติธรรม โดยเป็นการแบ่งชั้นของมนุษย์โดยมีการอธิบายของการดำรงอยู่ของมนุษย์ในภาคมนุสสคาถา และชั้นของมนุษย์ผู้กระทำผิดต่างๆ ในภาคนิสัยกถาที่ว่าด้วยนรกอันเป็นดินแดนแห่งความทนทุกข์ทรมานของผู้ประพฤติชั่ว และชั้นของผู้ประพฤติถูกทำนองคลองธรรมและได้รับผลจากการกระทำนั้นไปสู่สวรรค์ ในภาคเทวดาที่ว่าด้วยสวรรค์ชั้นต่างๆ และส่วนที่สำคัญได้แก่ การแนะนำ/สอนวิสุทธิกถาและวิสุทธิภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องของการสอนหลักคิดและวิปัสสนากรรมฐานเพื่อยังปัญญาให้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์โดยถ่องแท้
การแบ่งชั้นของผู้ประพฤติถูกและผู้ประพฤติผิดทำนองคลองธรรมว่าจะต้องเผชิญอะไรในชีวิตหลังความตายในจักรวาทวิทยาแบบไตรภูมิเป็นการสร้างระบอบความรู้สึกที่กำกับพฤติกรรมของมนุษย์ในช่วงเวลาที่อำนาจรัฐจารีตไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเข้าไปควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง และไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ด้วย
การสร้างหรือทำให้เกิดความเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ในลักษณะดังกล่าวเป็นการสร้างความรู้สึกหลายด้านประกอบกัน ไม่ว่าเป็นความรู้สึกถึงความเป็นอนิจจังของตัวตน ความกลัวที่จะประสบกับความน่ากลัวของนรก ความหวังที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์หรือหลุดพ้นจากชีวิตที่ยากลำบากในชาตินี้ การสร้างชุดความรู้สึกเช่นนี้จึงสามารถที่จะควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เบียดเบียนกัน เพราะเป็นการอธิบายที่สอดประสานกันระหว่างการดำรงชีวิตกับความหวังของมนุษย์ทั้งในด้านอุดมคติของมนุษย์
การแพร่หลายของการอธิบายจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิกระจายออกไปอย่างกว้างขวางได้ส่งผลทำให้เกิดการรับรู้และการสร้างความรู้สึกที่มีลักษณะร่วมกันของคนในชุมชนและสังคมไม่ว่าจะเป็นความกลัว หรือความหวัง ซึ่งก็กลายเป็นมาตรฐานทางความรู้สึกที่มีพลังกำกับพฤติกรรมของคนได้ลึกซึ้งมากขึ้น
มาตรฐานทางความรู้สึกของสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างไพศาลและลึกซึ้ง ที่สำคัญมีลักษณะของการแยกย่อยมากขึ้น รัฐสมัยใหม่ของไทยไม่สามารถที่จะจรรโลงความคิดหลักชุดให้ไว้ได้อันยังผลให้เกิดความปั่นป่วนในสังคมตลอดมา แน่นอนว่าเราคงไม่ได้โหยหาอดีตแบบจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิให้กลับมาเพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สังคมไทยก็น่าจะร่วมกันแสวงหามาตรฐานทางความรู้สึกที่มีลักษณะกลางๆ ให้ผู้คนทั้งหลายได้เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อที่จะร่วมกันจรรโลงสังคมไทยให้ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นและสงบสันติ




