คดีเขาพระวิหาร : เสมอคือชนะ เรียนรู้ "สู้ความ" ศาลโลกผ่านทีวี

คดีเขาพระวิหาร : เสมอคือชนะ เรียนรู้ "สู้ความ" ศาลโลกผ่านทีวี

สื่อโทรทัศน์กลายเป็น "ห้องเรียนขนาดใหญ่" ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ทำให้คนไทยได้ "เปิดโลก" แห่งการเรียนรู้

และทำความเข้าใจกับกระบวนการต่อสู้คดีเขาพระวิหารในศาลโลก ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้ว่าการนำเสนอ "ข้อเท็จจริง-ข้อกล่าวหา" ของทีมทนายของประเทศกัมพูชาที่เป็นฝ่ายยื่นคำร้องกับ "ข้อเท็จจริง-ข้อโต้แย้ง" ของทีมทนายของประเทศไทยจะเป็น "ชุดข้อมูล" ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แต่ด้วยกระบวนการพิจารณาของศาลโลก ที่เปิดโอกาสให้คู่ความได้ใช้เวลาเท่าๆ กัน ในการขึ้นให้การด้วย "วาจา" เพิ่มเติมจากการส่งเอกสารไปก่อนแล้ว และยังเปิดโอกาสให้ "แก้ต่าง" อีกในเวลาเท่ากัน ย่อมจะทำให้ "ประชาชน" ทั้งสองประเทศได้รับรู้ "ข้อมูล-คำให้การ-หลักฐาน" ของตัวแทนทนายทั้งสองประเทศอย่างครบถ้วนไปพร้อมๆ กัน กับองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลก

อย่างน้อยที่สุด น่าจะทำให้คนไทยที่ยังมีความขัดแย้งกัน ในกรณีเขาพระวิหารที่มีการปั่นกระแส "รักชาติ" จนกลายเป็น "ชาตินิยม" แล้วพีคไปถึงขั้น "คลั่งชาติ" แล้วใช้เป็น "อาวุธ" ในการทำลายล้างกันทางการเมืองระหว่าง 2 ขั้วพรรคการเมืองกับอีกหลายกลุ่มการเมือง ควรจะลดราวาศอกลงได้บ้าง ยังไม่บอกว่าให้ "เลิก" กล่าวหา-เลิกป้ายสี-เลิกปั่นกระแส-เลิกดูถูกประเทศเพื่อนบ้าน"

เอาเป็นว่าขอแค่ "ลดกล่าวหา-ลดป้ายสี-ลดด่าทอ" แล้วรอคอยคำตัดสินของศาลโลก เพราะประเทศไทยในช่วงกว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา บอบช้ำจากความขัดแย้งของคนไทยชาติ ในกรณีประสาทเขาพระวิหารมามากแล้ว คนไทยจำนวนมากต้องตกเป็น "เหยื่อความขัดแย้ง" ของคนไทยด้วยกันเอง มากกว่าคนกัมพูชาที่มีความเป็นเอกภาพในกรณีพื้นที่4.6 ตารางกิโลเมตรรอบๆ เขาพระวิหาร

"คนไทย" ที่เป็นชาวบ้านตามแนวชายแดน ที่ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต จากสงครามย่อยๆ ของทหาร 2 ประเทศ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา,
"คนไทย" อย่าง คุณวีระ สมความคิด, คุณราตรี ที่ท้าพิสูจน์รัฐบาลไทยเพื่อยืนยันอธิปไตยไทย จนถูกรัฐบาลกัมพูชาจับไปขังคุกเพื่อสังเวยความเชื่อ
"คนไทย" ตามสภากาแฟเกิดวิวาทะย่อยๆ ไป ทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เว้นแต่ละวัน ที่เจือปนไปด้วยความเห็นที่แตกต่างเริ่มจาก "สีเสื้อ"
"คนไทย" ทำสงครามย่อยๆ มีการให้ข้อมูลความจริงบ้าง หรือความจริงที่ไม่ครบถ้วนบนหน้าเฟซบุ๊คไม่เว้นแต่ละวัน
"คนไทย" ที่อยู่ในแวดวงวิชาการชี้หน้าด่าป้ายสีบนหน้าผาก ประณามกันแทนการถกเถียงเยี่ยงวิชาการ ฯลฯ

ผมขอปรบมือให้กับการตัดสินใจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ที่สั่งให้มีการถ่ายทอดสดพร้อมการแปลคำให้การเป็นภาษาไทยสดๆ จากห้องพิจารณาคดีของศาลโลก โดยไม่มีการตัดทอนใดๆ ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์

แม้ว่าผู้แปลแปลคำต่อคำในวันแรกจะสร้างความงงงวย จนต้องอาศัยนักวิชาการอธิบายด้วยภาษาไทยกันอีกหลายตระหลบก็ตาม แต่ในวันต่อๆ มาก็ทำได้ดีขึ้นมาก จนทำให้ "คนไทย" จำนวนมากที่ไม่เคยสนใจหรือไม่เคยมีความเข้าใจในความซับซ้อนของหลักฐานในคดีเขาพระวิหารที่ผ่านมากว่า 50 ปีแล้ว ได้เกิดความเข้าใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"ข้อกล่าวหา-หลักฐาน" จากทีมทนายความประเทศกัมพูชา ที่นำโดยรัฐมนตรีต่างประเทศรุ่นเก๋า "ฮอร์ นัมฮง" ที่นำเสนอต่อคณะผู้พิากษาศาลโลก ย่อมเป็นกระบวนการปกติธรรมดาของ "ทนายความฝ่ายโจทก์" จะต้องหาเหตุหาหลักฐานมาแสดงต่อศาล ให้เชื่อได้ว่าดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบๆปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ที่มีความชัดเจนจากตัวแทนรัฐบาลกัมพูชาใน "วิธีคิด-ความเชื่อ" ต่อกรณีอธิปไตยบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร ที่ในช่วงที่ผ่านมาฝั่งกัมพูชาไม่ได้แสดงต่อสาธารณะมากนัก

แต่ "ชุดคำให้การ-คำโต้แย้งและหลักฐานประกอบ" ของทีมทนายความประเทศไทย ที่มีเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงเฮก "วีรชัย พลาศรัย" กับทนายความชาวฝรั่งเศส-โรมาเนียอีก 4 คน ที่สะท้อนให้เห็นว่าได้มีการเตรียมความพร้อมในการนำเสนอ อย่างมี "ยุทธศาสตร์" จังหวะจะโคนในเชิงโต้แย้ง-หักล้าง-ทำลายความน่าเชื่อถือได้ใน "ระดับดีมาก" น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งในสายตาคนไทยจำนวนมาก

จนทำให้ "คนไทย" ที่เคยขัดแย้งกันเองใน "วิธีคิด" ที่แตกต่าง-หลักฐานที่ไม่ครบถ้วน มิหนำซ้ำยังเจือปนด้วย "อคติ" ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาในระดับที่แตกต่างกัน, อคติทางชนชาติที่คนไทยถูกเป่ากระหม่อมให้เกิดความรู้สึก "เหยียด" ชนชาติเพื่อนบ้านอย่างคนเขมร, คนลาว, คนพม่า ฯลฯ ลดระดับการวิวาทะทะเลาะกันไปได้ในระดับหนึ่ง ที่ยังอยากจะหวังว่าสังคมไทยเกิดบรรยากาศแบบนี้ไปให้นานที่สุด

ขอร้องกันไว้แต่เนิ่นๆ เลยว่า พวกผีเจาะปากมาพูดที่มีอยู่เยอะมากๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ อย่าได้แสดงโวหาร "อวดเก่ง" ว่าทีมทนายความชุดนี้เป็นชุดที่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งมากับมือ แล้วถือโอกาส "เหยียบ" รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล" ว่าไม่ได้เต็มใจเลือกหรือคิดว่าจะแพ้อยู่แล้ว เลยทำให้เลือกใช้บริการทนายความชุดเดิมที่รัฐบาลเก่าว่าจ้างไว้ เพราะถ้าหากแพ้คดีจะได้โยนความผิดไปให้พ้นตัวได้

ขอร้องกันไว้แต่เนิ่นๆ เลยว่า พวกผีเจาะปากมาพูดที่มีอยู่เยอะไม่แพ้กันในพรรคเพื่อไทยและพลพรรคคนเสื้อแดง อย่าได้แสดงโวหาร "อวดเก่ง" ว่าเห็นหรือเปล่าว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เอาการเมืองเข้ามาเล่นกับคดีความระหว่างประเทศ พรรคเพื่อไทยคำนึงถึงขีดความสามารถของทีมทนายความชุดเดิม ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จ้างไว้ จึงเปิดโอกาสให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติมากกว่าอื่นใด

ขอร้องกันไว้แต่เนิ่นๆ อีกเช่นกัน กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายๆ ที่อาศัยกรณีเขาพระวิหาร ด้วยการใช้สื่อทีวีดาวเทียม, สื่อโซเชียลมีเดียปลุกกระแส "ชาตินิยม" อยู่ตลอดเวลา ใครไม่เห็นด้วยกลายเป็นพวกขายชาติ จนหลายครั้งเลยเถิดกลายเป็นอาการ "คลั่งชาติ" พร้อมจะกระโดดเตะ หรือชกหน้าคนเขมรที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยทะเลาะกันเป็นการส่วนตัวได้

กรุณาอย่ากระพือกระแสเหล่านี้ให้ขยายตัวอีกต่อไป ด้วยการตัดตอนความจริงบางส่วนต่ออีกไป หรือนำไปขยายความแบบเข้าข้างความเชื่อของกลุ่มตัวเอง เพื่อทำลายล้างพรรคการเมืองทั้งสองพรรค ที่ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้โต้แย้งว่าไม่ได้เรื่องพอๆ กันนั่นแหละ

เห็นหรือยังว่าข้อเรียกร้อง ที่ไม่ให้ประเทศไทยยอมรับรับอำนาจ "ศาลโลก" อีกต่อไป ด้วยอาการกลัวแพ้ในการสู้คดี จนลามปามถึงขั้นออกมาประท้วง เพื่อให้รัฐบาลไทยปลดพันธะระหว่างประเทศจากการเป็นสมาชิกของศาลโลก เพื่อจะได้ไม่ต้องยอมรับคำพิพากษาศาลโลก ที่พวกท่านปั่นกระแสห่วยขั้นเทพของนักการเมืองสองพรรค จนทำให้สังคมจำนวนมากเข้าใจไปว่าประเทศไทยแพ้แน่ๆ ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร

ความเชื่อที่มาจากอารมณ์ความรู้สึก ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์, ไม่ใช้หลักวิชาการหาข้อมูลจริงๆ ที่มีการปั่นกระแส จนสะสมกลายเป็น "ความกลัว" ที่กำลังมีการลากถูให้ประเทศของเราเดินออกไปจากประชาคมโลกเพื่อใช้กำลังทหารตรึงดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทเขาพระวิหาร ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคมโลก ที่จำเป็นจะต้องมีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน ของประเทศในโลกนี้ และประเทศไทยไม่ได้ใหญ่โตเป็นมหาอำนาจทางอาวุธ-มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่สามารถนิ่งเฉยหรือปฏิเสธกฎเกณฑ์ของสหประชาชาติหรือระบบศาลโลกได้

ขอร้อง "นักวิชาการ" จำนวนมากอีกเช่นกัน ที่เคยมีส่วนปลุกกระแสชาตินิยม-คลั่งชาติ, บางคนแอบแสดงข้อมูล-หลักฐานการตีความผิดเพี้ยนด้วยเจือปนอคติ, บางส่วนแอบมาสร้างชื่อเสียงเพื่อวาระซ่อนเร้นส่วนตัว, บางส่วนออกมาทับถมนักวิชาการต่างสำนักด้วยอารมณ์หมั่นไส้ ที่มีน้ำหนักมากกว่าข้อมูลวิชาการ ฯลฯ เมื่อ "คำให้การ-คำโต้แย้ง-หลักฐาน" ที่ทีมทนายความของไทยได้แสดงต่อศาลโลก มีความสมบูรณ์ครบถ้วน ผ่านโทรทัศน์ที่สาธารณะชนรับรู้อย่างกว้างขวางเช่นนี้แล้ว

หากจะทะยอยกันกลับเข้า "ห้องเรียน" เพื่อก้มหน้าก้มตาทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จากคำให้การของสองฝั่งไปก่อนแล้ว "รอคอย" เวลาศาลโลกพิพากษาออกมาก่อน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการแย่งกันออกมาแข่งกันแสดง "ภูมิปัญญา" กันจนมากเกินพอดีอีกดังเช่นที่ผ่านมาหลายปี ซึ่งทำให้สังคมตกอยู่ในอาการงวยงง "ข้อมูลล้นทะลัก" จนจำแนกไม่ได้ว่าสิ่งไหนคือสาระความจริง คำอธิบายไนเป็นงานทางวิชาการแท้ๆ หรือ สิ่งไหนคือความจริงบางส่วน-ความเท็จที่มาจากกากพิษทางวิชาการ

ผมเต็มใจปรบมือให้ดังๆ กับการปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพและความเป็น "ข้าราชการตัวอย่าง" ของเอกอัครราชฑูตประจำกรุงเฮก "วีรชัย พลาศรัย ที่เป็นหัวหน้าทีมทำงานของทีมทนายความชาวต่างประเทศที่ไม่เข้าไปติดใจ-ข้องแวะความขัดแย้งของนักการเมืองสองพรรค ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลายรัฐมนตรีต่างประเทศ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเดียว

ขอยกย่องทีมทนายความต่างชาติทั้ง 4 ท่าน ที่ล้วนแต่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด 3-4 ปี ที่ผ่านมา ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดและวิกฤติการณ์การเมืองของไทยที่ผันผวนรุนแรง หาใช่ความสำเร็จของทนายความ คนหนึ่งคนใดดั่งเช่นที่กำลังเกิดกระแส "ฮีโร่หญิงสาว" ทนายความลูกครึ่งฝรั่งเศส-โรมาเนียนาม "อลินา มิรอง" ที่เชี่ยวชาญแผนที่และสื่อสารได้ชัดเจน

ผมหวังจริงๆ ว่าหลังคำให้การศาลโลกผ่านพ้นไปแล้ว บ้านเมืองของเราจะมีห้วงระยะเวลาสงบลดละความขัดแย้งทางความคิดในคดีเขาพระวิหารไปได้มาก ผู้คนที่เคยแบ่งฝักฝ่ายในกรณีนี้จะมีอารมณ์เย็นลง พวกเขาที่มีความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงยังไม่ต้องไปกระวนกระวายใจว่าประเทศไทยจะเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ช่วยกันประคองบรรยากาศแบบนี้ไปให้นานที่สุด จนกว่าคำพิพากษาศาลโลกออกมาที่ยังเป็นห้วงเวลาสำคัญเช่นกัน

หากศาลโลกไม่รับตีความเท่ากับว่าประเทศไทย "เสมอตัว" คือชนะ แล้วอย่าไปประณามหยามเหยียดเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน แต่น่าจะสร้างไมตรีชวนมาช่วยกันพัฒนาพื้นที่ประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศและมนุษยชาติ หากศาลโลกรับตีความก็อย่าเพิ่งออกอาการคลุ้มคลั่งว่าประเทศไทยจะสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ช่วยกันตั้งสติให้ดีว่าเริ่มต้นจากยอมรับคำสั่งศาลโลกที่คงไม่ออกคำสั่งจนให้สองประเทศประกาศสงครามแย่งดินแดนกันอย่างแน่นอน