ไทย-กัมพูชา ข้อพิพาทเก่า เสี่ยง!ก่อปัญหาใหม่

ไทย-กัมพูชา ข้อพิพาทเก่า เสี่ยง!ก่อปัญหาใหม่

28 เม.ย. นี้ ก็จะครบ 2 ปีที่กัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ขอให้ตีความคำพิพากษาของศาล

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร

นั่นคือ ปมข้อพิพาทเก่า ที่อาจจะก่อปัญหาใหม่...ของสองประเทศ คือ ไทย-กัมพูชา หลังจากที่คำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว...

ศาลยกฟ้อง...ดูจะเป็นทางเดียวใน 4 แนวทางตัดสินที่เชื่อว่าปัญหาข้อพิพาทใหม่จะน้อยที่สุด เพราะว่าผ่านมา 50 ปี ทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ไม่ถึงกับแย่มาก แม้ว่าจะปะทะชายแดนกันบ้าง

หากว่าคำตัดสินของศาล...เพิ่ม "เงื่อนไข" ใหม่ เพิ่มขึ้นมาอีก ความอ่อนไหวที่พอมี "ฝัง" อยู่แล้ว ก็จะสุ่มเสี่ยงขยายได้ตลอดเวลา

เพราะต้องอย่าลืมว่าคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 15 มิ.ย. 2505 มีหลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้หยิบมาพูดถึง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ชี้ว่า "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของรัฐไทย

4 แนวทางคำตัดสินศาลโลก ที่มีความเป็นไปได้ ช่างปลายปีนี้
เริ่มจาก แนวทางแรก ศาลโลกยกฟ้อง เนื่องจากศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี และกัมพูชาไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่และอุทธรณ์ มากกว่าที่จะเรียกว่า "ตีความคำพิพากษา"

ทั้งนี้ ตามคำแย้งของไทย ระบุว่า...
"คำฟ้องของกัมพูชาเป็นเสมือนการอุทธรณ์ที่ซ่อนมาในรูปคำขอตีความ โดยกัมพูชามีเจตนาแอบแฝง คือ ต้องการให้ศาลตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และตัดสินว่าแผนที่ดังกล่าวเป็นสนธิสัญญา ซึ่ง ศาลฯ เคยปฏิเสธแล้วอย่างชัดแจ้งทั้งสองประการในปี 2505 นอกจากนี้เส้นเขตแดนบนแผนที่ 1:200,000 ตามที่กัมพูชาเข้าใจในขณะนี้ เป็นเส้นที่ผิดเพี้ยนไปจากที่กัมพูชาเคยอ้างในคดีเดิม และมีวัตถุประสงค์ให้กัมพูชาได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกัมพูชาต้องการเพื่อนำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก"

อีกทั้ง...
"ศาลไม่ควรรับพิจารณา เพราะคดีนี้ไม่ใช่การตีความ แต่เป็นการฟ้องคดีใหม่เกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเมื่อ 5-6 ปีมานี้ในเรื่องเขตแดน อันเป็นผลมาจากการที่กัมพูชายื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี 2550 โดยได้รวมพื้นที่ซึ่งล้ำเข้ามาในดินแดนไทยประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไว้ด้วย ซึ่งประเด็นข้อพิพาทนี้อยู่นอกขอบเขตคดีเดิมเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินเพียงว่าปราสาทพระวิหารเป็นของใคร และเป็นเรื่องที่ต้องเจรจากันในกรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) ตามบันทึกความเข้าใจปี 2543"

แนวทางที่ 2 ศาลโลกพิพากษาให้ใช้แนวเขตเดิม ที่คณะรัฐมนตรีของไทย ได้ยกพื้นที่ให้กัมพูชาตั้งแต่ปี 2505

แนวทางที่ 3 ศาลโลกให้ขยายเขตพื้นที่รอบตัว "ปราสาทพระวิหาร" ให้แก่กัมพูชามากกว่าแค่รั้วลวดหนามล้อมรอบปราสาทที่ไทยอ้าง และปฏิบัติตามมาตลอด ส่วนจะเป็นเท่าไร ยังไม่แน่นอน อาจจะ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรืออาจจะเป็น 17.3 ตารางกิโลเมตร ตามที่ศาลโลกสั่งคุ้มครองชั่วคราวอยู่ในวันนี้?

แนวทางที่ 4 ศาลโลกให้ใช้เส้นเขตแดนตามแผนที่ 1: 200,000 ที่กัมพูชาอ้างถึงมาตลอด ซึ่งจุดนี้คือสิ่งที่กัมพูชายืนให้ศาลตีความ เพราะเชื่อว่าคำตัดสินเมื่อปี 2505 ที่ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชานั้น อยู่บนพื้นฐานของเส้นเขตแดนที่มีอยู่แล้วตามที่ฝรั่งเศสจัดทำและกำหนดขึ้น และเป็นที่ยอมรับโดยรัฐทั้งสองประเทศ
"แผนที่ ซึ่งทำให้ศาลตัดสินว่าอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร เป็นผลโดยตรงและอัตโนมัติ จากอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนที่ปราสาทตั้งอยู่"

ทั้งนี้ ทนายความฝ่ายกัมพูชาขึ้นชี้แจงด้วยวาจาเมื่อ 15 เม.ย. 2556 ต่อศาลโลก โดยพยายามตอกย้ำว่า กัมพูชาไม่ได้ตีความเขตแดน...แต่พื้นที่บริเวณใกล้เคียงบริเวณปราสาท หรือที่ศาลโลกใช้คำว่า...Vicinity...เป็นไปตามเส้นเขตแดน อัตราส่วน 1:200,000

คำว่า "Vicinity" ตามคำพิพากษาศาลโลกนี้แหละ ที่เป็นปัญหามาตลอด 50 ปี ดังนั้น ไม่ว่าจะตัดสินใจเข้าข้างฝ่ายไทยตามแนวทางที่ 2 หรือเห็นชอบตามคำฟ้องของกัมพูชาในแนวทางที่ 3 และที่ 4 ล้วนก่อปัญหาใหม่ทั้งสิ้น

แนวทางยกคำร้อง...คือ ทางออกที่ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยก็อยู่แบบนี้มาแล้ว 50 ปี

การกลับไปสู่จุดเดิมเพื่อเปิดทางให้สองประเทศหันมาใช้ระบบ "ทวิภาคี" ซึ่งมีโครงสร้าง JBC รองรับอยู่แล้วเดินหน้าต่อไป
“ทางถึงแม้ว่าจะแคบ...แม้รู้ว่ายาก แต่โอกาสผ่านย่อมมี”!!