ฟื้นคืนร่างกลางเถ้าธุลี

สำหรับผู้หลงใหลในเทพนิยายกรีกนั้น ตำนานของนกฟินิกซ์คงเป็นที่รู้จักกันดี เพราะนอกจากขนที่มีสีแดงเพลิงสวยงามและเสียงร้องที่ไพเราะจับใจแล้ว
สัตว์เลี้ยงของเทพแห่งดวงอาทิตย์ตนนี้ยังมีลักษณะพิเศษ นั่นคือเมื่อสิ้นอายุขัยที่ประมาณ 500 ปีแล้ว เจ้านกแสนสวยก็จะเผาตนเองให้เป็นเถ้าถ่าน ก่อนที่จะฟื้นคืนร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หากเปรียบกับเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน การฟื้นของนกฟินิกซ์คงใกล้เคียงกับนกอินทรีหัวขาวอย่างสหรัฐอเมริกา ที่แม้ว่าจะเผชิญวิกฤตการณ์การเงินจนทำให้เศรษฐกิจกลายเป็นเถ้าธุลี แต่ธรรมชาติของเศรษฐกิจสหรัฐที่ยืดหยุ่นสูง รวมถึงความพร้อมจะปฏิรูปจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณของการพลิกฟื้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองในระดับประเทศ (ที่ขยายตัวดีกว่ายุโรปและญี่ปุ่น) ระดับมลรัฐ (ที่เริ่มเห็นสัญญาณการจ้างงานและลงทุนมากขึ้น) หรือในภาคการผลิตต่างๆ (เช่น ภาคอสังหาฯ และภาคการผลิตอื่นๆ) ก็ตาม โดยปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประการ ดังนี้
ประการแรก ได้แก่ การปฏิรูปภาคการผลิต โดยที่ผ่านมา สหรัฐอาจนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีต้นทุนการผลิตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้บริษัทข้ามชาติต่างๆ ย้ายฐานการผลิตไปยังที่ซึ่งต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะค่าแรงถูกกว่า (Off-shoring) เช่น จีน เอเชีย และละตินอเมริกา เป็นต้น แต่ปัจจุบันต้นทุนค่าแรงที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในจีนที่ประมาณ 11-14% ต่อปี ขณะที่ค่าแรงในสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยมากหลังวิกฤต ทำให้บริษัทระดับโลกขนาดใหญ่ เช่น GE หรือแม้แต่บริษัทระดับโลกของจีนเอง เช่น เลอโนโว เริ่มย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐ (Re-shoring) มากขึ้น
ประการที่สอง ได้แก่ การพัฒนานวัตกรรมต่างๆ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐเป็นประเทศที่สนับสนุนแก่การวิจัยพัฒนา ไม่ว่าจากแวดวงการศึกษา ในภาคเอกชน หรือแม้แต่จากการพัฒนาในองค์กรของรัฐเอง โดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ด้านกลาโหม โดยที่ผ่านมานั้น เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น อินเทอร์เน็ต และระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS) ต่างคิดค้นจากหน่วยงานวิจัยด้านกลาโหมของสหรัฐทั้งสิ้น
และเทคโนโลยีของสหรัฐที่ถือว่า “เปลี่ยนโลก” อันได้แก่ การขุดเจาะแหล่งเชื้อเพลิงในแนวขวาง โดยใช้น้ำปริมาณมากผสมกับทรายอัดชั้นหินดินดาน (Shale) ให้แตกออก เพื่อดูดก๊าซธรรมชาติและ/หรือน้ำมัน (Shale Gas/ Shale Oil) ออกมา ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทำให้สหรัฐสามารถขุดเจาะก๊าซธรรมชาติออกมาเป็นจำนวนมากจนทำให้ราคาก๊าซในสหรัฐในปัจจุบันถูกกว่าในปี 2551 กว่า 3 เท่า
ราคาที่ลดลงดังกล่าวมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐหลายประการ เช่น ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งและ/หรือค่าไฟฟ้าในสหรัฐถูกลง (ถูกกว่าในบางประเทศเช่น ไทย ชิลี เม็กซิโก และอิตาลี 2-4 เท่า) รวมถึงทำให้อุตสาหกรรมแวดล้อม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก (สำหรับแท่นขุดเจาะ) พลาสติก และปุ๋ย ขยายตัวขึ้นเช่นกัน โดยสำนักวิจัยต่างๆ คาดว่า เทคโนโลยีนี้และอุตสาหกรรมแวดล้อมทำรายได้ให้กับเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมถึง 5.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.5% ของ GDP) และทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3 ล้านตำแหน่งใน 5 ปีข้างหน้า
ประการที่สาม ได้แก่ ความพยายามพัฒนาด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่างๆ ที่เก่าและต้องการการปรับปรุง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ที่ระบบประปา รถไฟลอยฟ้า สนามบิน และสวัสดิการด้านอื่นๆ มีอายุมาก (บางระบบมีอายุเกือบ 100 ปี)
โดยสาธารณูปการที่ต้องการการปรับปรุง/ขยายมากที่สุดได้การขนส่ง เนื่องจากการคมนาคมในสหรัฐโดยเฉพาะในเมืองใหญ่เผชิญปัญหาการจราจรติดขัดจนเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยสำนักงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐ (CBO) ประมาณการว่า หากสาธารณูปการด้านการขนส่งในสหรัฐได้รับการปรับปรุง (โดยเฉพาะถนน) จะให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ 3-8 เท่าของต้นทุนการก่อสร้างภายใน 5 ปีแรกของการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของพัฒนาด้านสาธารณูปโภคได้แก่การขาดแหล่งเงินทุน เพราะโดยปกติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับมลรัฐนั้นจะใช้งบประมาณของมลรัฐนั้นๆ ซึ่งได้เงินโอนจากรัฐบาลกลางอีกทอดหนึ่ง
และเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันรัฐบาลกลางสหรัฐประสบปัญหา “ถังแตก” โดยใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปกับสวัสดิการระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Medicare/ Medicade) ขณะที่รายได้จากภาษีไม่เพียงพอ ทำให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหา “หน้าผาการคลัง” (Fiscal Cliff) และทำให้รัฐบาลและสภาคองเกรสที่ไม่ลงรอยกันต้องแก้ปัญหาด้วยการตัดงบประมาณอัตโนมัติทุกกระทรวง (หรือที่เรียกว่า Sequestration) เป็นจำนวน 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐใน 10 ปี
เมื่องบขาดแคลน รัฐบาลท้องถิ่นจึงต้องระดมทุนเอง โดยปัจจุบันรัฐบาลท้องถิ่นมีรูปแบบการระดมทุนใหม่ๆ เช่น การออก Investment Trust ของรัฐบาลชิคาโก หรือผ่านโครงการร่วมมือภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) ที่หลายมลรัฐ เช่น ฟลอริดา โคโลราโด เท็กซัส และเวอร์จิเนีย เริ่มนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ และประสบความสำเร็จทั้งในการระดมทุนและผลตอบแทนทางการเงิน นอกเหนือจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
ประการสุดท้าย ได้แก่ ความพยายามในการปฏิรูปด้านการศึกษาโดยแม้ว่าการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสหรัฐนั้นอาจกล่าวได้ว่าดีที่สุดในโลก เพราะเน้นการวิจัยพัฒนา ทำให้มหาวิทยาลัยในสหรัฐ 27 ใน 30 มหาวิทยาลัยทั่วโลกได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าเป็นเลิศด้านงานวิจัย
แต่จุดอ่อนของระบบการศึกษาสหรัฐที่สุดได้แก่การศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา โดยหากวัดจากคะแนน PISA ซึ่งวัดความเป็นเลิศด้านการศึกษาของเด็กนักเรียนอายุ 15 ปี ใน 65 ประเทศ พบว่าคะแนนดังกล่าวของเด็กอเมริกันต่ำกว่าในหลายประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสาเหตุน่าจะเป็นเพราะสหภาพครูอาจารย์ระดับประถมและมัธยมที่แข็งแกร่งและต่อรองเรื่องผลตอบแทนได้ดี แต่มิได้พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโอบามาได้มีความพยายามหลายประการที่จะปฏิรูปการศึกษาระดับประถมและมัธยม ผ่านการวัดผลตอบแทนของครูอาจารย์และเงินอุดหนุนจากภาครัฐจากผลประเมินด้านการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปภาคการศึกษาในระยะยาว
แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มพลิกฟื้นขึ้นจากความพยายามปฏิรูปจากล่างขึ้นบน แต่ประเด็นที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของสหรัฐได้แก่การเมืองระดับชาติ ที่ความขัดแย้งทางความคิดระหว่าง 2 พรรคใหญ่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลในแง่ลบต่อเศรษฐกิจหลายประการ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณและการคลัง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลังวุฒิสภาผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี บ่งชี้ว่าทั้งสองพรรคเริ่มรอมชอมในความเห็นที่แตกต่างด้านการคลัง และอาจเป็นนิมิตหมายที่ดีในการร่วมกันบริหารจัดการด้านการคลังและงบประมาณ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพขึ้น
ภาคเอกชนสหรัฐปรับตัวมานานแล้ว หากภาครัฐสามารถก้าวข้ามผ่านความขัดแย้ง เศรษฐกิจของพญาอินทรีก็จะโผทะยานจากเถ้าถ่าน และทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นคืนขึ้นอีกครั้ง
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่







