ความเข้าใจ Contract Farm ในมุมมองด้านความเสี่ยง

ผมได้ไปพบนักวิชาการชั้นนำของ TDRI เมื่อเร็วๆ นี้ มีการถกประเด็นปัญหาต่างๆ มากมาย หลายประเด็นคำถามที่บ่งบอกว่าความรู้และความเข้าใจ
เรื่องการทำ Contract Farm นั้น นักวิชาการแต่ละท่านมีความรู้แ ละเข้าใจที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และข้อมูลที่ได้รับ แต่สิ่งที่ผมได้พบและเป็นเรื่องที่ดีมากๆ คือนักวิชาการของ TDRI มีพื้นฐานจิตใจที่ดี ตั้งประเด็นคำถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีความเห็นใจอยากช่วยเหลือเกษตรกร ช่วยเหลือสังคม รวมถึงความพยายามทำความเข้าใจในแง่มุมของผู้ประกอบการ
การที่จะให้นักวิชาการทุกท่าน เข้าใจว่ารูปแบบการทำ Contract Farm นั้นเป็นการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเกษตรกรจะต้องมีการลงทุน และต้องมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับบริษัทฯ ก็ต้องลงทุนและมีความเสี่ยงเช่นกัน การทำธุรกิจแบบ Contract Farm ก็เหมือนกับการทำธุรกิจในรูปแบบ Outsource เป็นการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบตามข้อตกลง ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจประเด็นนี้นานพอสมควร
การทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจกับสิ่งมีชีวิต (หมายถึงทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์) ย่อมมีความเสี่ยงที่มากกว่าการทำธุรกิจอื่นๆ ถ้าคุณทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบอิสระ (หมายถึงผลิตพันธุ์สัตว์ และผลิตอาหารสัตว์เอง หรือ เลือก ซื้อ หา มาเอง เมื่อผลิตได้แล้ว ต้องหาช่องทางจำหน่ายสินค้าด้วยตนเอง) ความเสี่ยงจะสูงที่สุด ผู้ที่จะทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบอิสระ จึงควรเป็นผู้ที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านความรู้วิชาการ ด้านการตลาด และด้านการบริหารเงินทุน เพราะเขาต้องเสี่ยงต่อโรคระบาดสัตว์ต่างๆ เสี่ยงต่อต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ผันผวน เสี่ยงต่อต้นทุนราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่สูงขึ้น และเมื่อได้ผลผลิตแล้วยังต้องเสี่ยงต่อราคาขายที่ผันแปรตาม Demand - Supply
เกษตรกรที่เข้าสู่โครงการ Contract Farm ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับบริษัทใดก็ตาม จึงควรจะทำการศึกษาอย่างถ่องแท้ แต่ขอบอกเลยว่า Contract Farm ไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้เกษตรกรประสบความสำเร็จทุกราย ซึ่งบ่อยครั้งมากที่ผมปฏิเสธไม่รับเกษตรกรหลายรายที่มาสมัครเข้าร่วมโครงการกับบริษัทฯ เพราะจะต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติหรือความเหมาะสมของเกษตรกรรายนั้นๆ และมีเกษตรกรบางรายถึงกับโกรธผมมาก
ด้วยเหตุที่ผมมีประสบการณ์ด้านการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์มาเป็นเวลายาวนาน ผมจึงเข้าใจและเห็นใจที่เกษตรกรรายย่อยกระโดดเข้ามาอยู่ในอาชีพการเลี้ยงสัตว์ เพียงเพราะเขาเห็นเพื่อนบ้านเลี้ยงแล้วมีรายได้ดี จึงอยากจะเลี้ยงบ้าง ทั้งๆ ที่เขามีคุณสมบัติไม่เหมาะสมเหมือนกับเพื่อนบ้านรายนั้น (พิจารณาทั้งคุณสมบัติในแง่วิชาการ และในแง่การลงทุน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนักลงทุนประเภทจับเสือมือเปล่า ลงทุนกู้ธนาคาร 100% แล้วเล็งผลเลิศ โดยมั่นใจว่าร่วมโครงการกับบริษัทใหญ่แล้วอยู่รอดแน่นอน ซึ่งผมขอบอกได้เลยว่าเกษตรกรที่กู้ 100% นั้นแทบจะไม่มีรายใดประสบผลสำเร็จเลยครับ ดังนั้น โครงการที่บริษัทฯแนะนำ คือเกษตรกรต้องมีเงินลงทุนเองอย่างน้อย 30% และควรกู้ธนาคารไม่ควรเกิน 70% เท่านั้น เพื่อให้ภาระการส่งดอกเบี้ยไม่มากเกินไป เกษตรกรหลายรายโกรธผม เพราะเขามีเงินทุนเองไม่ถึง 30% ผมจึงไม่รับเขาเข้าร่วมโครงการ แต่ก็มีบางรายแอบไปหากู้เงินนอกระบบมา เพราะอยากเข้าร่วมโครงการมากๆ ซึ่งสุดท้ายก็แบกรับภาระดอกเบี้ยไม่ไหวและมาสารภาพภายหลัง สุดท้ายก็ขอให้ผมช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ
ความเสี่ยงอีกประเด็นหนึ่งก็คือการทำธุรกิจกับสิ่งมีชีวิต (ธุรกิจทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์) หมูและไก่ต้องกินอาหารทุกวัน และอาจตายหรือสูญเสียได้ทุกวัน จึงต้องมีการดูแลสัตว์ในฟาร์มอย่างใกล้ชิด ต้องมีระบบการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุของตัวสัตว์ ตลอดจนต้องมีการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของวัน ซึ่งจากประสบการณ์ของผม มีกรณีศึกษามากมาย เช่น การสูญเสียจากอาหารสัตว์ที่ตกหล่นบนพื้นเพราะปฏิบัติโดยไม่ระมัดระวัง และการปฏิบัติที่มักง่ายของคนงานที่ไม่มีคุณภาพ (เจ้าของฟาร์มที่จ้างลูกจ้างมาดูแลแทนจะเกิดกรณีนี้ค่อนข้างมาก) ซึ่งมักจะแสดงผลที่ตัวสัตว์ของฟาร์มเหล่านี้ ที่มักจะป่วยบ่อย (ในขณะที่ฟาร์มอื่นๆ ไม่ป่วย) เกิดการเสียหายสูง และสุดท้ายผลผลิตที่ได้จึงมีต้นทุนสูง หรือมีรายได้น้อย
ประเด็นเรื่องสัตว์ป่วยจึงต้องแยกแยะว่าสัตว์ป่วยเพราะสาเหตุใด กรณีที่สัตว์ป่วยและพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าเกิดจากต้นทาง เช่น ลูกไก่ ลูกสุกร ที่รับจากบริษัทฯ บริษัทฯจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีที่สัตว์ป่วยภายหลังจากนำเข้าเลี้ยงก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไปเช่น บางรายเกิดจากการจัดการเลี้ยงดูไม่ดี หรือบางรายเกษตรกรเลี้ยงดูมีจัดการอย่างดี แต่อยู่ในพื้นที่ที่เกิดโรคนี้ระบาดอยู่ หรือ เป็นเหตุสุดวิสัย การให้ความช่วยเหลือเยียวยาก็จะแตกต่างกันไป ซึ่งประเด็นเรื่องสัตว์ป่วยนี้นับว่าเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ เพราะบริษัทเข้มงวดเรื่อง ระบบ Bio-Security และการป้องกันโรค จึงมีปัญหาเรื่องสัตว์ป่วยน้อยมาก
ผมไม่สามารถบังคับให้ใครต้องเข้ามาร่วมโครงการ Contract Farm ของบริษัทฯ เพราะนี่คือการทำธุรกิจ ต้องมีการลงทุน และมีความเสี่ยง ดังนั้น การที่เกษตรกรรายใด จะเข้าร่วมโครงการ Contract Farm ของบริษัทใดก็ตาม จึงควรจะพิจารณาศึกษาให้รอบคอบ







