กว่าจะถึงรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น

กว่าจะถึงรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นในสมัยของโชกุนจากตระกูลโทกุงาวาได้ถือนโยบายปิดประเทศมาตลอด 250 ปี อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา

ที่นำโดยนายพลเรือแมททิวเพอรี่ ในปี 1853 เป็นจุดพลิกผันที่นำความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสู่ญี่ปุ่นและกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “การเทิดทูนพระจักรพรรดิ์และปิดกั้นชาวต่างชาติ” (尊王攘夷) อันทำให้ประชาชนญี่ปุ่นแตกแยกออกเป็น หลายฝ่าย ตั้งแต่ฝ่ายเทิดทูนจักรพรรดิ์ ฝ่ายที่สนับสนุนโชกุน ฝ่ายที่สนับสนุนการเปิดประเทศ และฝ่ายที่ต้องการปิดกั้นชาวต่างชาติ แนวคิดแต่ละฝ่ายข้างต้นนี้ก็ยังมีการจับคู่กับแนวคิดอื่นแบบไข้วกันก็มี หรือทางเดียวกันก็มี อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์อย่างสำคัญ 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเทิดทูนพระจักรพรรดิ์และปิดกั้นชาวต่างชาติ กับ ฝ่ายที่สนับสนุนโชกุนและการเปิดประเทศ (佐幕開国)

ฝ่ายโชกุนเป็นฝ่ายที่ชนะในยกแรกโดยการลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศตะวันตกหลายประเทศ โดยที่ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระจักรพรรดิ์ ทั้งยังได้ทำการปราบปราม ฝ่ายที่ต่อต้านอย่างรุนแรงในปี 1857-1858 ฝ่ายผู้นำแคว้นที่สนับสนุนโชกุน ได้แก่ อาอิทสึ กับ สัทสึมะ ฝ่ายเทิดทูนพระจักรพรรดิ์ได้แก่ โจชู แต่ในที่สุดความขัดแย้งระหว่างการเปิดประเทศกับการปิดกั้น ชาวต่างชาติก็ถูกยกขึ้นหิ้งได้ กลายเป็นเสียงเรียกร้องในการให้ความสำคัญกับผู้นำแคว้นต่างๆ ที่เรียก ว่า 公武合体 หรือแปลว่า การรวมกำลังระหว่างจักรพรรดิ์กับผู้นำแคว้น จนกระทั่งวิวัฒนาการไปสู่ “การร่วมกันพิจารณาราชการแผ่นดินของผู้นำและนักรบแคว้นต่างๆ” หรือ 公議輿論 ซึ่งผู้เขียนตั้งข้อสังเกตุว่า เป็นการเรียกร้องบทบาท ของผู้นำแคว้นหลังจากที่ต้องขึ้นอยู่กับโชกุนมาโดยตลอดหรือเปล่า บุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดใน การเจรจาให้แคว้นต่างๆ เห็นตรงกัน ก็คือ ไซโก ทาคาโมริ นั่นเอง แต่ว่ากำลังหลักในการให้ความ ร่วมมือกลับไม่ใช่ผู้นำแคว้น แต่กลายเป็นซามูไรหรือนักรบระดับล่างที่คุมกำลังแทน

ตามแนวคิดของ ไซโก ทาคาโมริ ในปี 1859 แล้ว การรวมกำลังกันของผู้นำและนักรบจาก แคว้นต่างๆ ที่มีความเห็นตรงกันจะมีขนาดเท่าๆ กับกำลังของฝั่งโชกุนเลยทีเดียว แนวคิดของเขา ยังได้กำหนดหลักการสำคัญ 3 ประการ อันกลายเป็นหลักการพื้นฐานของการถวายคืนราชการแผ่นดิน (大政奉還) ที่เกิดขึ้น 8 ปีต่อมาหรือปี 1867 ดังนี้

1. การตัดสินราชการแผ่นดิน เป็นพระราชอำนาจเต็มของพระจักรพรรดิ์และบรรดาระเบียบและระบบแห่งจักรวรรดิ์ จะต้องออกจากสภาที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงเกียวโต

2. สภาแบ่งออกเป็นบนและล่าง สภาบนประกอบด้วยข้าราชการและสภาล่างประกอบด้วยนักรบจนถึงสามัญชน ที่คัดเลือกมาจากผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม ส่วนผู้นำแคว้นอยู่ในสภาบนโดยตำแหน่ง

3. โชกุนไม่ควรมีอำนาจเหนือบรรดาราชการงานเมืองทั้งหมดและจะต้องลาออกจากตำแหน่งโดยให้มีฐานะเทียบเท่าผู้นำแคว้นคนหนึ่งเท่านั้น (เป็นสมาชิสภาบนได้)

อย่างไรก็ตาม หลักคิดของ ไซโก ทาคาโมริ ไม่อาจเป็นจริงในช่วง 8 ปีดังกล่าวได้ เนื่องจาก ไซโก ทามาโมริ ถูกเนรเทศจากสัทสึมะไปอยู่เกาะด้วยความขัดแย้งกับผู้นำแคว้นคนใหม่ ลูกน้องคนสำคัญ โอคุโบ โตชิมิจิ ก็ไม่มีบารมีเพียงพอที่จะสานต่องาน และ ชิมัทสึ นาริอากิระ ผู้นำแคว้นสัทสึมะคนก่อน ซี่งเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญได้เสียชีวิตลง ในระหว่างนั้น อิอิ นาโอสุเกะ ประธานฝ่ายบริหารของโชกุน ถูกลอบสังหารโดยพวกนักรบสัทสึมะในปี 1860 และกลุ่มต่อต้านโชกุนถูกปราบปรามอย่างรุนแรงในปี 1862 ผู้นำแคว้นสัทสึมะคนใหม่เอง ชิมัทสึ ฮิซามิทสึ กระทำการโดยพลการในการปกป้องพระจักรพรรดิ์อันนำมาซึ่งความไม่พอใจของทั้งแคว้นโจชูและโดสะ ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ต่อต้านการเปิดประเทศในแคว้นทั้งสองสามารถยึดอำนาจจากผู้นำเดิมที่สนับสนุนการเปิดประเทศ คิโตะ ทาคาโยชิ เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ยึดอำนาจของแคว้นโจชู ซึ่งกลายเป็นผู้นำสำคัญคนหนึ่งในยุคต้นเมจิ ดังนั้น แนวทางการเปิดประเทศและความร่วมมือกันระหว่างพระจักรพรรดิ์กับผู้นำแคว้นของแคว้นสัทสึมะ จึงไม่ได้รับการยอมรับจากแคว้นอื่น

ในปี 1862 นักรบแคว้นโจชูได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มและฆ่าชาวต่างชาติ อีกทั้งร่วมกับนักรบของสัทสึมะทำการเผาสถานกงศุลอังกฤษที่เพิ่งสร้างเสร็จ นอกจากนี้ นักรบโจชูยังส่งกำลังไปประจำที่เกียวโตเพื่อกำกับพระจักรพรรดิ์ เหตุการณ์นี้ทำให้แคว้นและนักรบของแคว้นต่างๆ เริ่มรวมกำลังกันอีก ครั้งหนึ่ง โดยพักเรื่องข้อขัดแย้งการเปิดหรือปิดประเทศไว้ก่อน ในปี 1863 ก็สามารถขับไล่นักรบโจชู ออกไปจากเกียวโตได้ ซึ่งเรียกกันว่า “การปฏิวัติ 18 สิงหาคม” แต่ฝ่ายปฏิวัติก็ไม่สามารถหาข้อสรุปใดๆ ได้ จนเกิดวิกฤตการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายจงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิ์และฝ่ายโชกุนในเกียวโต นักรบสัทสึมะจึงได้บีบบังคับผู้นำแคว้นให้ปล่อย ไซโก ทาคาโมริ จากการเนรเทศ ในปี 1864

ในปี 1865 ความพยายามของ ไซโก ทาคาโมริ ด้วยความช่วยเหลือของ ซากาโมโต ริวมะ ประสบความสำเร็จในการดึงให้แคว้นโจชูมาร่วมมือในการล้มโชกุนโทกุงาวา ผู้ที่เป็นฑูตเจรจากับ คิโต ทาคาโยชิ ของฝ่ายโจชูคือ คุโรดะ คิโยทาคา ซึ่งกลายเป็นผู้นำสำคัญในรัฐบาลเมจิในภายหลัง ในปี 1867 สัทสึมะก็สามารถทำสัญญาพันธมิตรกับแคว้นโดสะได้อีกแคว้นหนึ่ง บุคคลสำคัญฝ่ายโดสะพร้อมๆ กับ ซากาโมโต ริวมะ คือ โกโต โชยิโร ซึ่งก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลเมจิภายหลังเช่นเดียวกันหลักการแห่งข้อตกลงมีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ ไซโก ทาคาโมริ คิดไว้ตั้งแต่ปี 1859 ดังกล่าวข้างต้น

ในเดือนตุลาคม 1867 แคว้นโดสะ ได้เสนอข้อเรียกร้อง “การถวายคืนพระราชอำนาจ” (大政奉還) ต่อโชกุนโทกุงาวา ในเดือนมกราคม 1868 กองทหารจากแคว้นพันธมิตร 4 แคว้น ทำการสวน สนามที่เกียวโตต่อพระพักตร์ของพระจักรพรรดิ์ อันถือเป็นเหตุการณ์ที่ “ราชการแผ่นดินกลับสู่สถานะเดิม” หรือ (王政復古) ในขณะนั้นกำลังของฝ่ายโชกุนยังคงเหนือกว่าฝ่ายแคว้นพันธมิตร โชกุนโยชิ โนบุจึงยังไม่ยอมง่ายๆ และทำการต่อรองเงื่อนไขรายละเอียดอีกมากมาย ไซโก ทาคาโมริ จึงได้คิดแผนยั่วยุให้ฝ่ายโชกุนลงมือก่อนโดยการเผาที่พักของแคว้นสัทสึมะในเกียวโต หลังจากนั้น การรบระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเกิดขึ้น ไซโก ทาคาโมริ ใช้ยุทธศาสตร์ทำลายกองกำลังเป็นจุดๆ จนได้ชัยชนะเป็นลำดับและสามารถเข้าสู่เอโดะโดยไม่เสียเลือดเนื้อและยังไล่รบกองกำลังฝ่ายโชกุนไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและได้ชัยชนะในที่สุด รวมเวลาทั้งสิ้น 9 เดือน เรียกว่า สงครามโบชิน

หลังสงคราม อิวาคุระ โทโมมิ ข้าราชการในวัง เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการจากพระจักร พรรดิ์ในการจัดระบบบริหารราชการแผ่นดินจนถึงกองทัพ ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือ การจัดหารายได้แผ่นดินให้เพียงพอกับการใช้จ่าย ขณะนั้น ผู้ที่เป็นเสนาบดีกระทรวงการคลังคือ โอคุมะ ชิเงะโนบุ และผู้ช่วยเสนาบดี คือ อิโต ฮิโรบุมิ ซึ่งต่างกลายเป็นบุคคลสำคัญในยุคต้นเมจิ ในเวลาเดียวกัน ไซโก สึคุมิจิ และ ซันเคน อาริโทโม ซึ่งกลับจากการดูงานทหารในปี 1869 เห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดตั้ง กองทัพที่สามารถดูแลความสงบและป้องกันประเทศได้ ทั้งหมดนี้นำไปสู่การยกเลิกแคว้นและจัดตั้ง จังหวัดเพื่อนำรายได้ทั้งหมดจากทั่วประเทศเข้าสู่ส่วนกลางในปี 1871 ผลสืบเนื่องทำให้อิทธิพลของผู้นำแคว้น ซึ่งได้เคยคาดว่าจะอยู่ในสภาบนเริ่มมีอิทธิพลลดลงตามลำดับ

ในปี 1871 บุคคุลสำคัญในรัฐบาลเมจิ อันมี อิวาคุระ โทโมมิ, โอคุโบ โตชิมิจ, คิโต ทาคาโยชิ และ อิโต อิโรบูมิ ได้เดินทางไปดูงานต่างประเทศ คิโต ทาคาโยชิ และ อิโต อิโรบูมิ มีความสนใจเป็น พิเศษเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญบรอยเซนของเยอรมันนี ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นในภายหลัง เมื่อกลับประเทศในปี 1873 แล้ว ก็ได้เน้นความสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญแทนการจัดตั้งรัฐสภาที่มีการพูดกันมานานตั้งแต่ปี 1863 ทำให้แตกแยกกับ อิตะงากิ ไทสุเกะ หรือฝ่ายที่ต้องการสภาในปี 1875 ในระหว่างนั้น ก็มีการโต้แย้งกันในเรื่องการบุกเกาหลีดี ไต้หวันดี หรือ เกาะซัคคารินดี จนรัฐบาลแทบไม่เป็นอันทำอะไรจนกระทั่ง ไซโก ทาคาโมริ ก่อการกบฎที่จังหวัดคุมาโมโต เพราะว่าไม่พอใจรัฐบาลที่ไม่ยอมบุกต่างประเทศตามแนวคิดของเขา หรือ ที่เรียกว่าสงครามเซอินันในปี 1877 หลังจากสงครามสงบแล้ว โอคุโบ โตชิมิจิ กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดและทำการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมตามที่ได้ดูงานมาเป็นการใหญ่ จนกระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นต้องประสบกับการขาดดุลงบประมาณและขาดดุลการค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ปกติของพฤติกรรมทาง เศรษฐกิจในลักษณะนั้นและทำให้มองข้ามเรื่องรัฐธรรมนูญและรัฐสภาไปโดยสิ้นเชิง

อิตางากิ ไทสุเกะ ผู้ซึ่งเรียกร้องให้มีสภาที่มาจากประชาชนในปี 1874 ได้ให้หลักการไว้ว่า “ชาวนาผู้ซึ่งมีหน้าที่ในการชำระภาษีแก่รัฐบาล ย่อมมีสิทธิในการเสนอ รับรู้ ยินยอม หรือ คัดค้าน กิจ การของรัฐบาล” ในขณะนั้นชาวนาเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ถูกเก็บภาษี เมื่อชาวนามีฐานะดีขึ้น ก็ย่อม เสียงดังขึ้น ชาวนาตามที่ต่างๆ ก็เริ่มรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมืองของตน ในขณะเดียวกัน ก็ลดความสำคัญสิทธิทางการเมืองของพวกนักรบ ซึ่งก็จางหายไปพร้อมๆ กับการยกเลิก แคว้น จัดตั้ง จังหวัด และ กองทหารส่วนกลาง

ในปี 1881 โอคุมะ ชิเงะโนบุ เป็นเสนาบดีกระทรวงการคลัง ประเทศกำลังตกอยู่ภายใต้ภาวะ เงินเฟ้อจากการเร่งพัฒนาทางอุตสาหกรรม ซึ่งหมายถึงภาษีที่เก็บจากที่นา โดยกำหนดเป็นตัวเลขคงที่ มีมูลค่าลดลง ชาวนาก็ไม่ต้องการเรียกร้องให้ลดภาษีอีก แต่ต้องการมีส่วนร่วมในกิจการบ้านเมืองโดย ทำการรวมกลุ่มเรียกร้องกันทั่วประเทศไปหมด โอคุมะจึงได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระจักรพรรดิ์ ดังนี้

1. กำหนดและประกาศการเปิดประชุมรัฐสภา

2. แต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆ ตามความต้องการของประชาชน

3. ข้าราชการการเมืองแยกออกจากข้าราชการประจำอย่างเด็ดขาด

4. ร่างรัฐธรรมนูญตามพระบรมราชวินิจฉัยของพระจักรพรรดิ์

5. กำหนดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในปี 1882 และเปิดประชุมสภาในปี 1883

6. กำหนดระบบการปกครองบ้านเมือง

โอคุมะเป็นเพื่อนกับ ฟุกุซาวา ยูคิจิ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคโอและเป็นผู้นำกลุ่ม “โคยุนเชียะ” (交詢社) ด้วย โอคุมะจึงนำเสนอแนวคิดร่างรัฐธรรมนูญของเขาในนิตยสารเพื่อชี้นำสังคม ขณะนั้น แต่ว่าแนวคิดของเขาเน้นสิทธิของชาวนา ซึ่งแตกต่างไปจากสิทธิของนักรบที่มีมาก่อน อิโต ฮิโรบูมิ ซึ่งเป็นเสนาบดีในขณะนั้นด้วยกับ อิโนะอุเอะ โควาชิ เลขานุการประธานเสนาบดีในขณะนั้น จึงไม่เห็นด้วยและได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญร่วมกับ อิวาคุระ โทโมมิ เสนาบดีฝ่ายขวาเพื่อคานกับร่างของโอคุมะ

ร่างของ โอคุมะกับฟุกุซาวา ใช้ระบบอังกฤษที่คณะรัฐมนตรีมาจากรัฐสภา ส่วนร่างของ อิโนะ อุเอะ ใช้ระบบเยอรมันนีที่พระจักรพรรดิ์และรัฐบาลมีอำนาจเหนือรัฐสภา อิโนะ อุเอะ เห็นว่า “กษัตริย์ในระบบอังกฤษไม่มีบทบาทอะไรเลยนอกจากมองดูธงที่ปักอยู่ตรงหน้า พัดไปพัดมาตามทิศทางลม เท่านั้น”

ในที่สุด “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น” ที่ประกาศใช้ใน 8 ปี ต่อมาหรือปี 1889 ก็มี ใจความส่วนใหญ่เป็นไปตามร่างของ อิโนะ อุเอะ เกือบทุกประการ พระจักรพรรดิ์มีอำนาจในการแต่งตั้ง ข้าราชการทหารและพลเรือนตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไปจนถึงคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญกำหนดให้ภาษีจากที่นาคงเดิม รัฐสภาประกอบด้วยสภาบนและสภาล่าง และร่างกฏหมายใดๆ ที่จะประกาศ ใช้ได้ต้องผ่านทั้งสองสภา ดังนั้น ถ้าชาวนาในสภาล่างต้องการลดภาษี สภาบนที่มาจากการแต่งตั้ง นักรบเดิมๆ ไม่ยินยอม ก็กลายเป็นกฏหมายไม่ได้ ถ้าร่างพระราชบัญญัติงบประมาณไม่ผ่านสภา ก็ให้ใช้งบประมาณของปีก่อนได้ อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจได้แก่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจการบังคับ บัญชากองทัพเป็นของพระจักรพรรดิ์โดยตรง ซึ่งทำให้ฝ่ายทหารรายงานตรงต่อพระจักรพรรดิ์โดย ตลอดในการทำสงครามตั้งแต่การบุกประเทศจีนเป็นต้นไป ทั้งๆ ที่พระจักรพรรดิ์เองก็ไม่อาจทราบ ถึงรายละเอียดได้ ผู้ที่รับพระราชทานรัฐธรรมนูญจากพระจักรพรรดิ์คือ คุโรดะ คิโยทากะ นายก รัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นลูกน้องคนสำคัญของ ไซโก ทาคาโมริ นั่นเอง


ที่มา : สรุปประเด็นจาก 坂野潤治、日本近代史、ちくま新書、二〇一二年