จากประชาธิปไตยครึ่งใบสู่การเมือง “ไพร่-อำมาตย์” (1)

จากประชาธิปไตยครึ่งใบสู่การเมือง “ไพร่-อำมาตย์” (1)

ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นภาพสะท้อนความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่มาร่วมทศวรรษ แม้ว่าสัดส่วนคะแนนจะไม่ต่างกันมาก

ซึ่งด้านหนึ่งก็เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าแต่ละฝั่งความคิดจะระมัดระวังทางการเมืองมากขึ้น เพราะเห็นได้ชัดว่าเป้าหมายทางการเมืองของฝ่ายตนยังไม่บรรลุได้ง่ายๆ แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมการเมืองไทยซ่อนปมความขัดแย้งเอาไว้ลึกมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากหมากสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ที่หยิบเอาประเด็นความรู้สึกทางการเมืองมาใช้เรียกคะแนนเสียง

ภายหลังเหตุการณ์นองเลือดเมื่อปี พ.ศ. 2553 การอธิบายชนบทไทยเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจนในทศวรรษ 2550 เพราะเมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในลักษณะใหม่ที่คนใน “ชนบท” จำนวนมากได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังและกว้างขวาง จนกลายเป็นแรงผลักดันอย่างสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดความกระหายใคร่รู้ที่จะอธิบายที่มาและการจัดตั้งทางทางสังคมการเมืองของคนกลุ่มนี้ ทศวรรษ 2550 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในการศึกษา “ชนบท” ไทย อย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะทางด้านการเมือง

แต่อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่ความขัดแย้งทางการเมืองที่คน “ชนบท” ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังและกว้างขวางดังกล่าวนี้ ได้กระแทกอย่างรุนแรงกับภาพคนใน “ชนบท” แบบเดิมในการรับรู้ของนักวิชาการ จึงทำให้เกิดความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงที่จะเข้าใจการดำรงอยู่ของคนชนบท ส่งผลให้การศึกษาความเปลี่ยนแปลงในชนบทมักจะพุ่งเป้าไปเน้นที่คุณลักษณะของ กลุ่ม "คนเสื้อแดง" มากกว่าที่จะทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ทำให้เกิด “คนเสื้อแดง” ขึ้นมา

ในช่วงแรกๆ การวิเคราะห์และอธิบายคุณลักษณะของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ของนักวิชาการ เน้นไปที่การหาคำตอบว่าใครคือ “คนเสื้อแดง” ที่เรียกร้องต้องการระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการวิเคราะห์และอธิบายในแง่นี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเน้นที่ลักษณะร่วมทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวบ้านที่เป็น “คนเสื้อแดง” ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำจำกัดความหรือคำที่คิดขึ้นมาเพื่อใช้เรียกคนเสื้อแดง เช่น “ชาวนารายได้ปานกลาง” โดย Andrew Walker (มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย) “ชาวนาผู้รู้โลกกว้าง” โดย Charles Keyes (มหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน) “คนชั้นกลางระดับล่าง” โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ปัญญาชนสาธารณะ) “พลังสีแดง : การจัดตั้งของภาคการผลิตไม่เป็นทางการ” โดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ “คนกึ่งเมืองกึ่งชนบท” โดย นฤมล ทับจุมพล และ ดันแคน แมคคาโก (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยลีดส์) เป็นต้น

นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งจะเน้นความหลากหลายข้ามชนชั้นของ “คนเสื้อแดง” หรือไม่ได้มองว่าเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะร่วมกันในเชิงประสบการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ การศึกษาของปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรีและคณะ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เรื่อง "พัฒนาการจิตสำนึกและขบวนการทางการเมืองของชาวเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่" และ วัฒนา สุกัณศีล (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เรื่อง “จากการเมืองของรากหญ้าสู่ประชาธิปไตย 100%” นักวิชาการกลุ่มนี้พยายามวิเคราะห์ว่า “คนเสื้อแดง” ประกอบขึ้นด้วยคนต่างฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม หรือประกอบด้วยคนหลากหลายกลุ่มหลากหลายชนชั้น มิใช่เป็นกลุ่ม “คนยากจน” แต่อย่างใด และคุณลักษณะสำคัญของคนเสื้อแดงก็คือความสำนึกในความสำคัญของประชาธิปไตย ซึ่งเห็นได้จากการออกมาเคลื่อนไหวภายหลังเหตุการณ์การรัฐประหารใน พ.ศ. 2549

แม้ว่าการศึกษาที่เน้นการมองหาคุณลักษณะของกลุ่มคนในชนบทที่ถูกเรียกว่ากลุ่ม “คนเสื้อแดง” จะมีประโยชน์ในแง่ที่ทำให้มองเห็นกลุ่มคนที่เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองว่าประกอบด้วยคนกลุ่มใดบ้าง และอะไรเป็นสาเหตุเฉพาะหน้าหรือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง หากแต่การมุ่งค้นหาคำตอบในเรื่องเช่นนี้ กลับทำให้ขาดการวิเคราะห์บริบทของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของพื้นที่ “ชนบท” ที่มี ผลต่อความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมชนบท และทำให้คนชนบทเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการเมืองอย่างเข้มข้น

การศึกษาในระยะหลังได้พยายามที่จะอุดช่องว่างที่มีอยู่ในคำอธิบายของนักวิชาการทั้งสองกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ที่สำคัญได้แก่ การศึกษาของอภิชาต สถิตนิรามัยและคณะ เรื่อง “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” และการศึกษาของ สมชัย ภัทรธนานันท์ เรื่อง “การเมืองของสังคมหลังชาวนา : เงื่อนไขการก่อตัวของคนเสื้อแดงในอีสาน”

การศึกษาเรื่อง “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” มุ่งวิเคราะห์ฐานะทางเศรษฐกิจของคนเสื้อแดง เพื่อชี้ให้เห็นว่าคนเสื้อแดงเป็น “ชนชั้นกลางระดับล่าง” แต่ไม่ใช่กลุ่มคนที่ยากจนที่สุด และคนส่วนใหญ่ในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้คิดว่าตนเองยากจน หากแต่มีความไม่มั่นคงในชีวิตที่ทำให้ชื่นชอบนโยบายประชานิยม และงานเขียนเรื่อง “การเมืองของสังคมหลังชาวนา : เงื่อนไขการก่อตัวของคนเสื้อแดงในอีสาน” มุ่งแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรในภาคอีสานประสบปัญหาในการทำมาหากินและยากจนกว่าคนในภาคอื่นๆ แต่มีวิถีชีวิตใกล้เคียงกับคนในเมือง โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าและบริการและการเข้าถึงสื่อใหม่ๆ และยังวิเคราะห์ด้วยว่าในอดีตคนอีสานก็เคยมีประสบการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองมาแล้ว

การศึกษาทั้งหมดที่พยายามจะทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงใน “ชนบท” อันมีผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ “คนชนบท” น่าจะทำให้คนชั้นกลางในเมืองมองเห็น/เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคม “ชนบท” โดยรวมได้ดีขึ้น แต่ผลการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครกลับแสดงให้เห็นเป็นตรงกันข้าม เหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะยังไม่มีการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่างความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชนบทที่ขัดแย้งกับโครงสร้างอำนาจรัฐและรูปแบบของรัฐที่ดำรงอยู่ หวังไว้ว่าหากการสร้างความรู้ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องระหว่างสังคมกับรัฐอย่างพลวัตน่าจะทำให้สังคมไทยมองเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น และอาจจะมีผลทำให้กระบวนการเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตย (Democratization) เป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

ขอต่อคราวหน้านะครับ