ทำไมประเทศถึงล้มละลาย

ทำไมประเทศถึงล้มละลาย

 การ “ล้มละลาย” ของศรีลังกา  เมียนมาร์ และสปป.ลาว ที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นนั้น  ผมคิดว่าเราควรมาทำความเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยการใช้ภาษาของคนธรรมดาที่พอจะเข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจ หรือเศรษฐศาสตร์อยู่บ้างดังต่อไปนี้  โดยที่ผมจะเปรียบเทียบกับบุคคลธรรมดาด้วย

เริ่มกันที่ธุรกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละคนก่อนก็คือ  เราต้องมีรายได้และค่าใช้จ่าย  รายได้นั้นหลักใหญ่ๆ ก็มาจาก 2 กลุ่มกิจกรรม คือ 1) การขายของ หรือ 2)ขายแรงงาน ซึ่งก็คือการเป็นลูกจ้างหรือขายบริการ เช่น เป็นฟรีแลนซ์ต่างๆ   ส่วนรายจ่ายก็มี 2 อย่างเช่นกัน คือ  1) ซื้อของมากินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และ 2) ซื้อบริการ เช่น จ่ายค่าเล่าเรียน  ตัดผม  ไปดูหนัง  ซื้อทัวร์ไปเที่ยว และซื้อประกัน  เป็นต้น

  นอกจากรายได้และรายจ่ายที่มาจากการทำงานแล้ว  รายรับและรายจ่ายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของการลงทุนซึ่งก็มี 2 แบบใหญ่ ๆ  นั่นก็คือ  1) การลงทุนโดยตรงในธุรกิจ  เช่น  ไปร่วมเป็นหุ้นส่วนกับคนอื่นที่เราต้องจ่ายเงินออกไป  และ 2) การลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร 

 

และในทั้งสองกรณีก็คือ  มีทั้งการจ่ายเงินออกไปตอนไปลงทุน และการรับเงินเข้ามาเวลาได้รับปันผล รับดอกเบี้ย หรือขายหลักทรัพย์  ถ้ารวมรายได้และรายจ่ายทั้งสองรายการแล้วเป็นบวกก็แสดงว่า เราทำมาหากินเลี้ยงตัวได้ ความเสี่ยงที่จะล้มละลายน่าจะต่ำลง

 

ในระดับของประเทศเองนั้น เวลาประเทศ “ขายของ” ให้ประเทศอื่น  เราเรียกว่าการ “ส่งออก”  ส่วนเวลาเราซื้อของมาใช้ก็เรียกว่าการ “นำเข้า” หักกลบกันแล้วเราเรียกว่า  “ดุลการค้า”  ในส่วนของการซื้อ-ขายบริการนั้น  ถ้าหักกลบแล้วเราเรียกว่า  “ดุลบริการ”  และเมื่อเอาสองตัวนี้มารวมกัน  เราก็เรียกว่า  “ดุลบัญชีเดินสะพัด” ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกว่า  ประเทศเรา “ทำมาหากิน” ได้เงินพอหรือมากกว่าค่าใช้จ่ายหรือเปล่า  ถ้าใช่ก็แปลว่า เราน่าจะมีเงินเหลือเก็บ  เป็น“ทุนสำรอง”  ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะล้มละลายต่ำลง

 นอกจากการทำมาหากินแล้ว การลงทุนทั้งในด้านธุรกิจที่เรียกว่าลงทุนโดยตรงและการลงทุนในหลักทรัพย์  เช่น หุ้นและพันธบัตร  ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เงินเข้าออกเปลี่ยนแปลงไปและบางครั้งก็อาจจะทำให้คนธรรมดาและประเทศล้มละลายได้เช่นกัน  โดยเฉพาะถ้าเงินถูกนำออกไปมากกว่าเงินไหลเข้ามากในช่วงเวลาหนึ่งและเงินสำรองมีไม่พอ ตัวอย่างเช่น คน หรือประเทศติดหนี้ ที่ถึงกำหนดต้องชดใช้มากกว่าเงินที่สะสมไว้มากและไม่สามารถกู้เงินมาหมุนทัน  ก็จะอยู่ในสภาพ “ล้มละลาย” ทันที

มูลค่าเงินลงทุนส่วนที่ถูกนำเข้ามาในประเทศหักด้วยเงินที่ถูกส่งออกไปนอกประเทศนั้นเรียกว่า “ดุลบัญชีทุน”  และเมื่อนำมาคำนวณรวมกับดุลบัญชีเดินสะพัดในแต่ละปีก็จะเรียกว่า  “ดุลชำระเงิน”  หรือก็คือเม็ดเงินที่เรามีเพิ่มขึ้น (หรือลดลง)ในปีนั้น  ซึ่งก็จะเข้ามารวมกับ  “เงินสำรอง” ของประเทศที่จะเป็นในรูปแบบต่าง ๆ  ที่สำคัญที่สุดก็คือเงินดอลลาร์ และอาจจะเป็นทองคำด้วย  เพราะนี่คือเงินหรือทรัพย์สินใกล้เงินที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

ประเทศไทยในช่วงปี 2535  หรือ 5 ปี ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540  นั้น  เรามีเงินทุนสำรองอยู่ที่ 21.2 พันล้านดอลลาร์  ซึ่งเท่ากับปริมาณที่สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ประมาณ 7 เดือน  ซึ่งก็ถือว่ามีเงินสำรองค่อนข้างมาก  อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2535 ประเทศไทย ก็ขาดดุลการค้าคือซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงปี 2539 

โดยเหตุผลที่ซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้านั้น ไม่ใช่เพราะเราผลิตไม่พอในการบริโภค  แต่เป็นเพราะเราผลิตเพิ่มขึ้นเร็วมากโดยที่ GDP โตเฉลี่ยถึงปีละ 7.94% ซึ่งทำให้เราต้องนำเข้าสินค้าที่เป็นเครื่องจักรที่มีราคาแพงมาก และก็เช่นเดียวกัน เราต้องซื้อบริการจากต่างประเทศมากกว่าที่ขายบริการมาตลอด เช่นเรื่องของการขนส่งสินค้า การประกันภัย และอื่น ๆ  นั่นทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากถึงประมาณเกือบ 8% ของ GDP ในปี 2539

ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คือ  เราใช้เงินเกินตัวมาก  อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2535 ถึง ปี 2539 นั้น  เราสามารถอยู่ได้เพราะมีเงินทุนสุทธิที่เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ยปีละประมาณ 15.4 พันล้านดอลลาร์  ซึ่งทำให้ดุลชำระเงินเป็นบวกทุกปี เฉลี่ยปีละ 4.1 พันล้านดอลลาร์  ซึ่งส่งผลให้เงินทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จนถึงจุดสูงสุดในปี 2539 ที่ประมาณ 38.7 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าถึง 7.3 เดือน 

เรารู้สึกว่าประเทศไม่น่าจะล้มละลายได้ง่าย ว่าที่จริงในช่วงนั้นเราเป็น “ดารา” ของโลก  เป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเซีย” แต่สิ่งที่เราอาจจะลืมไปก็คือ เงินที่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยในช่วงนั้น จำนวนมโหฬารเป็น “เงินกู้” สกุลดอลลาร์ที่เรียกว่า  “BIBF” ที่มีดอกเบี้ยต่ำมากและเป็นเงินกู้ระยะสั้นที่เจ้าหนี้สามารถเรียกคืนได้ภายใน 1 ปี

ก็อย่างที่เรารู้หลังจากเหตุเกิดแล้วนั่นก็คือ พอถึงปี 2540 ประเทศไทยก็แทบจะ “ล้มละลาย” เงินสำรอง 38.7 พันล้านดอลลาร์ ที่มีอยู่นั้น  ถูกดึงออกไปโดยเฉพาะเพื่อใช้หนี้จำนวนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ ที่เจ้าหนี้เรียกร้องคืนและน่าจะรวมถึงนักลงทุนชาวต่างประเทศในตลาดหุ้นที่รีบขายหุ้นนำเงินออกไปก่อนที่เงินบาทที่ขายหุ้นได้จะมีค่าน้อยลงมาก  เงินสำรองช่วงก่อนที่จะ “ล้มละลาย” ถ้าผมจำไม่ผิดเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์  และถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจาก IMF เราก็คงล้มละลายไปแล้ว

กลับมาสู่วันนี้ในปี 2565 และย้อนหลังไปถึงปี 2560  ฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมากกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นช่วงที่ “อ่อนแอ” ที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน เงินสำรองทางการของไทยอยู่ที่สูงเกือบที่สุดที่ 246 พันล้านดอลลาร์ สามารถนำสินค้าเข้าได้ถึง 1 ปี  และสูงกว่าหนี้ทั้งหมดของประเทศที่อยู่ที่ประมาณ 197.5 พันล้านดอลลาร์  ของตัวเลขปี 2564

ถ้าพูดถึงเรื่องรายได้จากการขายของและบริการของประเทศเทียบกับรายจ่ายนั้น ตั้งแต่ปี 2560-2563 เราได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอดเฉลี่ยปีละประมาณ  32.9 พันล้านดอลลาร ์  ซึ่งก็เกิดจากการได้เปรียบทั้งดุลการค้า  และดุลบริการซึ่งในอดีตนั้นไทยมักจะขาดดุล  แต่ด้วยอานิสงส์  ของการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เติบโตขึ้นมหาศาลทำให้ไทยเกินดุลบริการมาตลอดตั้งแต่ปี 2558 

จนกระทั่งเริ่มขาดดุลในปี 2563 ที่เกิดโควิด-19 ที่ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวหายไปจนถึงวันนี้ที่เราเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด  อย่างไรก็ตาม  คาดว่าภายในเวลาอีกไม่นาน  รายได้ของไทยก็น่าจะกลับมาเพียงพอกับค่าใช้จ่ายได้

สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับไทยก็คือ ดุลบัญชีทุนที่ติดลบมานานอานิสงส์ จากการที่เศรษฐกิจไทยโตช้า และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมาก  ตั้งแต่ 10 ปีมาแล้ว  เงินทุนชาวต่างชาติย้ายหรือถอนออกสุทธิจากประเทศไทยทุกปี เฉลี่ยปีละ 12.8 พันล้านดอลลาร์ หรือปีละ 4-5 แสนล้านบาท ซึ่งนี่ก็รวมถึงเงินที่ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย และทุนที่คนไทยนำออกไปลงทุนในต่างประเทศจำนวนมากด้วย 

อกจากนั้นในช่วงเร็วๆ นี้  ก็ยังมีประเด็นสำคัญในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่าของสหรัฐมาก ซึ่งถ้าไม่แก้ไข เราก็อาจจะประสบกับการถอนเงินลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นเงินกู้เพิ่มขึ้น  และนั่นก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการเงินได้  ผมก็ได้แต่หวังว่าผู้รับผิดชอบการดูแลเศรษฐกิจและการเงินของประเทศจะไม่ทำผิดอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2540 อีก