ทำไมต้องรอ

ผมได้ฟังฝรั่งคนหนึ่งพูดรู้สึกว่าโดนใจมากจนต้อง“คัดมาคุย”

คุณ Andrea Driessen ตั้งคำถามว่า ทำไมเราจึงกล่าว คำไว้อาลัย ให้แก่ผู้ที่เสียชีวิต เมื่อท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว และไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลย

ผมเองก็มีความสงสัย ในประเด็นที่คล้ายกับคุณอันเดรีย คือผมสงสัยว่า ทำไมคนที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงกลายเป็นคนดีหมดทุกคน

 เพราะเวลาไปงานทีไร ได้ยินแต่คำประกาศถึง คุณงามความดีที่ครบถ้วนของบุคคลผู้นั้น ไม่มีความด่างพร้อยใดๆให้ได้ยิน คือประมาณว่า ใครก็ตาม เมื่อนอนนิ่งสนิทแล้ว ก็เป็นคนดีทั้งนั้น

 ผมมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า เมื่อพิธีการได้เสร็จสิ้น และแขกเริ่มเดินทางกลับแล้ว มีใครสักกี่คน ที่ยังหวนคิดถึงท่านผู้วายชนม์ ที่ตนเพิ่งร่วมพิธีไปหมาดๆ

 ข้อสงสัยข้อแรกของผม ตอบไม่ยาก คือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว ใครจะใจร้ายพอที่จะไปสรรหาความไม่ดีมากล่าว

 

ส่วนข้อสงสัยข้อสอง ก็คงไม่มีใครทำการวิจัย เพื่อหาตัวเลขมาตอบผม แต่ผมเชื่อว่าแขกส่วนใหญ่ เมื่อออกจากงานไปแล้ว ก็มีเรื่องใหม่ๆเข้ามาในชีวิต จนไม่มีเวลาจะคิดถึงคนที่จากไปแล้ว

คุณอันเดรียบอกว่า ในพิธีศพของคุณพ่อเธอ เธอได้รับมอบหมายให้อ่านคำไว้อาลัย ซึ่งเธอก็รู้ว่าพ่อของเธอ “ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว” แต่ขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าพ่อเธอ “ได้รับรู้สิ่งนั้นแล้ว”

คุณอาจจะงง... ตกลงว่ารับรู้ หรือไม่รับรู้ กันแน่ ตอบได้ว่า คุณพ่อเธอรับรู้มานานแล้ว เพราะเธอได้อ่านข้อความนั้นให้พ่อฟัง ตั้งแต่วันที่พ่อยังมีชีวิตอยู่

 มนุษย์เรา เมื่อถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป ถ้าได้ทราบว่าชีวิตของตนเองมีความหมายต่อคนอื่น เป็นคนสำคัญในชีวิตของคนบางคน และมีผู้เห็นความดีงาม มีคนซาบซึ้งในสิ่งที่ได้ทำไว้ บุคคลผู้นั้นน่าจะอิ่มใจ และจากโลกนี้ไปอย่างมีความสุข

 สำคัญคือ ต้องทราบก่อนที่จะไปจากโลกนี้ ไม่ใช่ว่าจากไปแล้วจึงมาบอกให้ทราบ เพราะแบบนั้นบอกเสียงดังยังไง ก็ไม่ทราบหรอกครับ

 คุณอันเดรีย เธอเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “คำไว้อาลัยที่มีชีวิต” หรือ “Living Eulogies” เธอคิดว่าเราควรส่งมอบคำไว้อาลัยนี้ ให้แก่บุคคลที่เรารัก ตั้งแต่เขาหรือเธอยังมีชีวิตอยู่

 ก็เข้าใจได้นะว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี

 แต่ประเด็นที่ยากก็คือ จะส่งมอบความรู้สึกนั้นให้กัน “เมื่อไร” เช่นในขณะที่สุขภาพยังแข็งแรง หรือเมื่อเริ่มมีอาการโรคร้าย หรือ ระยะท้ายของโรค ฯลฯ ซึ่งความรู้สึกของคนฟัง ก็คงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา

รวมทั้งอารมณ์ของคนบอก และความรู้สึกยากง่ายในการที่จะบอก ก็คงแตกต่างด้วยแหละ...ผมว่านะ

 หรือจะมอบให้ “แบบไหน และอย่างไร” เพื่อไม่ให้รู้สึกขัดเขิน ผิดที่ผิดเวลา หรือฝืนความรู้สึก ตรงนี้ต้องว่ากันเป็นกรณีๆไป

 อันเดรียแนะว่า ถ้าถนัดเขียน ก็เขียน ถ้าถนัดพูด ก็พูด ถ้าถนัดวาด ก็วาด คือสื่อด้วยวิธีที่ถนัดที่สุด

 วิธีใดก็ได้ แต่สำคัญที่สุดคือ ทำในขณะที่คนที่เรารักยังมีชีวิตอยู่ รับรู้ได้ ปลื้มปิติได้

ผมเห็นด้วย 100% กับวิธีคิดของเธอครับ

 อันเดรียเล่าว่า เพื่อนสาวของเธอ มีความขัดแย้งกับคุณแม่ และเกลียดแม่ตัวเอง เพราะแม่ดื่มมากจนพิษสุราเรื้อรัง เพื่อนเธอบอกอันเดรียตรงๆว่า บางครั้งอยากให้แม่ “ตายๆไปซะ”

 อันเดรียแนะเพื่อนว่า พยายามคิดสิว่า แม่มีอะไรที่ดีบ้าง แล้วเอาแค่ตรงนั้นมาเขียนบอกแม่ เพื่อนเธอก็พยายามทำตาม อีกไม่นาน เพื่อนกลับมาบอกอันเดรียว่า หลังจากที่ได้ทำไปแล้ว... “ฉันเริ่มรู้สึกรักแม่ขึ้นบ้างแล้วนะ”

 แสดงว่าวิธีการนั้น นอกจากทำให้เพื่อนของเธอได้บอกกับแม่ ในขณะที่แม่ยังรับรู้ได้แล้ว ยังเปลี่ยนสัมพันธภาพที่เคยเกลียดชัง และห่างเหินระหว่างแม่กับลูก ให้ดีขึ้นได้ด้วย

 ทุกวันนี้ การอ่านคำพูดหรือคำกลอนที่ไพเราะในงานพิธี จริงๆอาจเป็นเพียงคำพูดที่ “ลอยไปตามลม” ในเวลานั้น เท่านั้นเอง

 เพราะคนที่อยากให้ฟัง ก็ไม่ได้ยิน และคนที่ได้ยิน ส่วนใหญ่ก็อาจไม่ได้ตั้งใจฟัง

 แต่ในทางปฏิบัติ ใครจะเอาคำไว้อาลัยไปอ่านให้ใครฟัง ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ คงทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าลดโทนลงมาหน่อย อย่าไปเรียกว่าคำไว้อาลัย ก็อาจจะทำได้ง่ายขึ้นอีกนิด

 คุณอันเดรียเธอก็ไม่ได้เรียกว่า “Eulogies” แต่เธอเรียกว่า “Gracenotes”  ซึ่งผมก็ยังคิดคำไทยที่เหมาะสมไม่ได้ครับ

แต่ถ้าจะทำให้ง่าย ผมว่าวันเกิด วันเกษียณ วันเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งเราบอกความรู้สึกกันอยู่แล้ว เราก็บอกให้มากขึ้น ให้ซาบซึ้งขึ้น ว่าเขามีความสำคัญอย่างไร มีความหมายกับเราเพียงใด ฯลฯ

 มันอาจจะไม่ใช่ Gracenotes ในความหมายที่พูดถึง แต่มันก็เป็น Appreciation Notes ที่ทำให้ผู้รับ หัวใจเบ่งบานขึ้นอย่างมากเลยนะ