ค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่งกับการแก้ไขปัญหาจราจรและสิ่งแวดล้อม

ค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่งกับการแก้ไขปัญหาจราจรและสิ่งแวดล้อม

ในปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายไปสู่ความเป็นประเทศศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคม

การท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน ดังจะเห็นได้จากการกำหนดแผนพัฒนาความเจริญในทุกๆ ด้านและการดำเนินการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ดี อีกแง่มุมหนึ่งของความเจริญนั้นเราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการมุ่งมั่นพัฒนาความเจริญด้านต่างๆ นั้นสามารถส่งผลกระทบทางลบหลายประการมาสู่ประเทศของเราเช่นเดียวกัน ซึ่งผลกระทบที่กลายเป็นปัญหาสำคัญอย่างน้อย 2 ประการที่เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าคือปัญหาการจราจรและปัญหาสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม

ปริมาณยวดยานพาหนะที่เพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอาจแสดงให้เห็นโดยนัยว่าคนไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น มีกำลังซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้น ผู้ประกอบธุรกิจต้องการรถยนต์ขนส่งสินค้ามากขึ้นหรือเหตุประการอื่น แต่ในขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของปริมาณยวดยานพาหนะกลับไม่สอดคล้องกับจำนวนหรือระยะทางของถนนซึ่งมีอยู่จำกัดหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และหากเราสังเกตการจราจรบนท้องถนนในปัจจุบันจะพบว่าปริมาณยานพาหนะที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นปัญหาการจราจรคับคั่งหรือติดขัดอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ปัญหาการจราจรคับคั่งหรือติดขัดในปัจจุบันนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ปัญหาดังกล่าวยังขยายไปสู่หัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดที่มีลักษณะความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคม การท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ปัญหาการจราจรคับคั่งหรือติดขัดยังมีส่วนทำให้เกิดมลภาวะสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละออง ควันจากท่อไอเสียยานพาหนะ ระดับเสียงดังเกินกว่าค่ามาตรฐาน ขยะของเสียที่ตกหล่นจากยานพาหนะ เป็นต้น ซึ่งมลภาวะสิ่งแวดล้อมดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบทางลบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยตรงอาจทำให้ประชาชนมีต้นทุนดูแลเอาใจใส่คุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยของตนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นและมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเพื่อมิให้กระทบต่อประชาชนและการพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การคมนาคม การท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน

แม้ว่ามาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นให้หมดไปหรือบรรเทาลงจะมีอยู่หลากหลายมาตรการ แต่ในที่นี้ผู้เขียนเห็นว่าควรนำมาตรการกฎหมายภาษีอากรมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการใช้ถนนถูกเรียกว่า Road pricing หรือ Road user charging เกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการเริ่มจาก (1) แนวคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้รถใช้ถนนควรจะต้องรับภาระต้นทุนผลกระทบภายนอกทางลบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นมลภาวะทางเสียง มลภาวะทางอากาศหรือมลภาวะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนนของตนผ่านการเสียค่าธรรมเนียมการใช้ถนน (2) ความจำเป็นที่ต้องบริหารจัดการกับความต้องการใช้ถนนที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาของสังคมเมือง จำนวนประชาชนที่เพิ่มขึ้นและอีกหลายปัจจัย

(3) การแก้ไขปัญหาการจราจรคับคั่งส่งและผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งรวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนต้องเผชิญกับระยะเวลาในการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นหรือการใช้พลังงานเชื้อเพลิงยานยนต์ที่มากขึ้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแต่ละปีมีจำนวนมหาศาลเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร การก่อสร้างถนนใหม่ตลอดการบำรุงรักษาถนน (4) การแก้ไขปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถใช้ถนน เช่น เสียงดัง ฝุ่น ควันพิษ เป็นต้น และเป็นสาเหตุหนึ่งของการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ (5) การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผู้ใช้รถใช้ถนนเนื่องจากต้องร่วมรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการใช้ถนนหนทางของตนเองซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้การบริหารจัดการขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ (6) รายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนสามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์โดยรวมกับประเทศในรูปงบประมาณแผ่นดินหรือสามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อการจราจรหรือการแก้ไขปัญหามลภาวะเป็นการเฉพาะ เช่น นำไปก่อสร้างถนน บำรุงรักษาถนนตลอดจนนำไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน การจัดทำระบบตรวจจับมลภาวะ เป็นต้น

ค่าธรรมเนียมการใช้ถนนสามารถจำแนกได้หลายประเภท เริ่มตั้งแต่การชำระเงินที่เกิดจากการใช้ถนนที่เรียกว่า Tolling หรือค่าผ่านทางพิเศษเป็นอีกหนึ่งลักษณะของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน แต่ค่าผ่านทางพิเศษนี้เป็นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน สะพานหรืออุโมงค์ที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ โดยค่าผ่านทางพิเศษต้องสะท้อนถึงต้นทุนก่อสร้าง ต้นทุนการดำเนินการหรือต้นทุนการบำรุงรักษาที่เกิดจากทางพิเศษเหล่านั้น ทั้งนี้ประเทศไทยมีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษเช่นเดียวกันโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายเกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและกฎหมายทางหลวง แต่ค่าธรรมเนียมอีกชนิดหนึ่งที่ประเทศไทยยังมิได้ปรับใช้คือ Congestion charging หรือค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่ง แต่ประเทศเพื่อนบ้านของเราโดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนสำหรับพื้นที่และเวลาที่เกิดการจราจรคับคั่ง (Electronic Road Pricing System) โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการลดปริมาณการใช้ถนนในช่วงเวลาที่มีการใช้ถนนสูงสุด (Peak-period traffic) และทำให้มีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ถนนในช่วงเวลาอื่นมาก กล่าวคือ ผู้ใช้รถอาจชำระค่าใช้ถนนเพื่อแลกกับการจราจรที่ไหลลื่น หรือเปลี่ยนช่วงเวลาการเดินทางเพื่อหวังผลการชำระค่าใช้ถนนที่ลดลง หรือใช้ถนนเส้นอื่นแทนหรือใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว เป็นต้น เนื่องจากผลของอัตราค่าใช้ถนนจะมีอัตราที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทรถ เส้นทางเดินรถ ช่วงเวลาและสภาพการจราจร หากเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของวัน จำนวนค่าธรรมเนียมจะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ 30 นาที ทั้งนี้จะประกาศอัตราค่าใช้ถนนเป็นการล่วงหน้า

ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยสามารถนำค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่งมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่งจะส่งผลให้ปริมาณยานยนต์มีจำนวนลดลงในพื้นที่ใจกลางเมืองระหว่างเวลาเร่งด่วนในตอนเช้าตามอัตราค่าใช้ถนนที่มีอัตราสูงเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีการจราจรคับคั่งเท่านั้น นอกจากช่วงเวลาดังกล่าวแล้วค่าใช้ถนนจะมีอัตราที่ต่ำเกือบตลอดทั้งวันทั้งนี้ตามที่มีการประกาศกำหนด ลักษณะดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่งมีขึ้นเพื่อการจัดการด้านการจราจรและยังสามารถนำรายได้ค่าธรรมเนียมมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ในด้านการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมด้วย

อย่างไรก็ดี หากจะมีการนำมาปรับใช้กันอย่างจริงจังแล้วควรจะต้องมีการศึกษาวิจัยถึงผลดีผลเสียตลอดจนกระบวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเริ่มตั้งแต่ผู้เสียค่าธรรมเนียม อัตราค่าธรรมเนียม วิธีการเสียค่าธรรมเนียม การนำรายได้ค่าธรรมเนียมไปใช้ประโยชน์และเส้นทางที่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียม เป็นต้น การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญแก่กระบวนการมีส่วนร่วมคิดร่วมทำของหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นเช่นกันเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาและก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทางเศรษฐกิจและการสงวนรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม.