ภาษีคู่สมรส

ภาษีคู่สมรส

สมาคมนักวางแผนการเงินไทยได้จัดสัมมนาเรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคู่สมรสตามกฎหมายใหม่ ดิฉันเห็นว่าเป็นประโยชน์จึงขอนำมาแบ่งปันค่ะ

ท่านผู้อ่านคงทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 17/2555 ว่า มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นการกำหนดให้รายได้อื่นๆ นอกเหนือจากเงินเดือน ค่าจ้าง ตามมาตรา 40(1)ของหญิงที่มีสามีและจดทะเบียนสมรส ต้องนำไปคำนวณรวมภาษีกับสามีนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 30 ที่กำหนดว่า

บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน และการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้

กรมสรรพากรจึงได้ทำการยกร่าง จนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศเป็นพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2555 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2555 ทันสำหรับปีภาษี 2555 พอดี จากแต่เดิมที่คาดกันว่าจะมีผลในปี ภาษี 2556

เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ บทความนี้จะขอสรุปความเห็นและประเด็นที่วิทยากรทั้งสี่ท่านคือ ศ.(พิเศษ)จรัญ ภักดีธนากุล รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย อาจารย์ ประภาศ คงเอียด และ อาจารย์อดิศักดิ์ สืบประดิษฐ์ ได้บรรยายและให้ความเห็นเอาไว้ โดยไม่ระบุว่าเป็นความเห็นของผู้ใดเป็นการเฉพาะเจาะจง

การเสียภาษีของคู่สมรสของไทยใช้แนวคิดดั้งเดิมว่า ภรรยาไม่ได้ทำงาน และป้องกันการเลี่ยงภาษีโดยการแบ่งแยกเงินได้ให้ฐานต่ำลง แต่อาจไม่มีความเป็นธรรมทางสังคม เพราะกลายเป็นว่า Marriage Tax = Marriage Penalty หรือภาษีของคู่สมรส กลายเป็นการลงโทษที่มีการสมรสแบบเป็นทางการ

ซึ่งลักษณะภาษีแบบนี้ ไม่ส่งเสริมการสร้างความมั่นคงของสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันหลักของสังคม มีตัวอย่างคู่สมรสจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นนักธุรกิจ ที่สมรสไม่จดทะเบียน หรือต้องไปจดทะเบียนหย่า เมื่อมีเหตุการณ์ที่จำเป็นทางภาระภาษีหรือต้องการจำกัดความรับผิดทางการเงิน และวิทยากรยังเล่าว่า เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลง ฝ่ายชายหลายคนไม่ยอมกลับคืนไปจดทะเบียนสมรสกับภรรยา

สาเหตุที่เป็นบทลงโทษในการสมรส เพราะเงินได้ในมาตรา 40(2) ถึง (8)ของภรรยาตั้งแต่บาทแรก จะถูกนำไปคำนวณภาษีในอัตราบาทสุดท้ายของสามี และหากภรรยาไม่มีเงินได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างตามมาตรา 40(1) ก็หมายถึงการไม่มีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ 150,000 บาทแรกอีกด้วย

ทั้งเมื่อนำเงินได้มารวมกันเพื่อเสียภาษี คู่สมรสจะสามารถหักค่าใช้จ่ายของสามีได้ 60,000 บาท และของภรรยาได้เพียง 40,000 บาท แทนที่จะเป็นคนละ 60,000 บาท หากเป็นโสด

ในต่างประเทศ การเสียภาษีของคู่สมรสจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เลือกได้ว่าจะยื่นรวมหรือจะแยก โดยหากยื่นรวม อาจจะมีอัตราภาษีอีกบัญชีหนึ่ง เช่น สหรัฐอเมริกา และไอร์แลนด์ หรือใช้ระบบตัวหาร แบบในฝรั่งเศส

กลุ่มที่สอง แยกเงินได้ของสามีภรรยา โดยอาจแยกคำนวณและโอนค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนระหว่างกันได้ เช่นของสหราชอาณาจักร หรือสิงคโปร์ แยกคำนวณและกำหนดค่าลดหย่อนไว้เป็นพิเศษสำหรับคู่สมรส หรือแบบญี่ปุ่นที่แยกกันยื่น แยกคำนวณ และอัตราภาษีเหมือนคนโสด

ไม่ว่าจะใช้หลักการใด ต้องมีความยุติธรรม และไม่ควรลงโทษผู้ที่สมรสจดทะเบียนค่ะ

เอาละค่ะ ทีนี้มาถึงกฎหมายใหม่ของไทยแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2555 คือ คู่สมรสมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกคำนวณภาษี ดังนั้นจะเลือกแบบใหม่ควรจะต้องทดลองคำนวณดูก่อนที่จะยื่นค่ะ ปีนี้รวม ปีหน้าแยกก็ได้ และมีการแบ่งรายได้ให้คิดพอสมควร สำหรับผู้ที่มีรายได้ในหลายๆ มาตรา

ดังนั้น คู่สมรสมีทางเลือกดังนี้

หนึ่ง แยกยื่นแบบแสดงรายการ ดิฉันมองว่าเหมาะสำหรับคู่สมรสที่ภรรยาไม่มีรายได้ตามมาตรา 40(1) คือไม่มีเงินเดือนหรือค่าจ้าง เพราะภรรยาจะสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ 150,000 บาทแรกได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(2) ถึง (8) หากแยกไม่ได้ ให้แบ่งคนละครึ่ง สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(8)สามารถตกลงแบ่งกันได้ตามแต่จะเห็นสมควร

สอง รวมยื่นแบบแสดงรายการโดยรวมเงินได้ทั้งหมดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอาจจะเลือกนำไปรวมให้สามีทั้งหมด หรือนำไปรวมให้ภรรยาทั้งหมด

สาม รวมยื่นแบบแสดงรายการ โดยแยกเฉพาะเงินได้ตามมาตรา 40(1) ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกมา ส่วนรายได้อื่นยื่นรวมกัน

ส่วนการหักค่าลดหย่อนที่เปลี่ยนแปลง คือ ไม่ว่าจะรวมยื่น หรือแยกยื่นรายการก็ตาม สามารถหักลดหย่อนบุตรและการศึกษาบุตรได้ ฝ่ายละ 17,000 บาท และหากมีเงินกู้ที่อยู่อาศัยมาแต่เดิมก่อนสมรส สามารถหักลดหย่อนดอกเบี้ยได้ฝ่ายละไม่เกิน 100,000 บาท ทำให้สิทธิในการหักลดหย่อนไม่สูญหายไปหลังการสมรส

ทั้งนี้ต้องยกเครดิตในการยื่นเรื่องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในครั้งนี้ให้ คุณผาณิต นิติธรรมประภาส ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะยื่นเรื่องขอคำวินิจฉัยทั้งๆที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 48/2545 ไปแล้วเมื่อปี 2545 ว่ามาตราทั้งสองนั้น ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนให้ข้อมูลและผลักดันเรื่องนี้

ก่อนยื่นภาษีในปีนี้ ต้องทดลองทำแบบรายการก่อนค่ะ จะได้ตัดสินใจว่าจะยื่นรวม หรือแยกยื่น เพราะทำให้ภาษีที่ต้องเสีย แตกต่างกันได้