การถกเถียงนโยบายสาธารณะ ต้องมีพื้นฐานจากข้อเท็จจริง

ความขัดแย้งทางความคิด ในเรื่องมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถือเป็นเรื่องปกติของประเทศ ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจำนวนมาก
ยิ่งความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจมีมากเท่าไร ความขัดแย้งต่อมาตรการของรัฐบาลหรือหน่วยงานที่ดูแลกฎกติกาทางเศรษฐกิจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น อย่างกรณีในเรื่องมาตรการรับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าอันเนื่องมาจากเงินทุนไหลเข้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะที่ดูแลโดยตรง ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่สนับสนุนเช่นเดียวกัน
กรณีของค่าเงินบาท กลุ่มวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของธปท.เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า หรือบางคนอาจไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากนัก แต่ก็เกิดความวิตกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ในขณะที่คนที่สนับสนุนการทำงานของธปท.อาจเห็นว่าที่ผ่านมา ธปท.ดำเนินนโยบายได้ดีอยู่แล้ว เพราะเชื่อมั่นการดำเนินนโยบายที่ผ่านมานั้น ธปท.สามารถรับสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นได้อย่างดี โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน
แต่การโต้แย้งในเรื่องมาตรการป้องกันทุนไหลเข้า และการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าในขณะนี้ กำลังกลายเป็นการเลือกข้างระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับธปท. และเมื่อพิจารณาจากความเห็นของคนในวงการต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าถกเถียงกันในเรื่องความเห็นและความรู้สึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้น มากกว่าการถกเถียงเรื่องข้อมูลที่แท้จริง อีกทั้งกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความเห็นนั้นเป็นกลุ่มที่พูดแล้วเสียงดังมากกว่าคนอื่นในสังคม ซึ่งบางครั้งอาจเป็นคนส่วนน้อยของคนในสังคมเสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น การโต้แย้งแบบเลือกข้างเลือกฝ่ายไม่อาจหาข้อยุติได้ ซึ่งไม่เพียงแต่กรณีค่าเงินบาทเท่านั้น แต่ยังมีกรณีตัวอย่างในการเมืองระดับชาติ เมื่อประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันนั้นมีการเลือกข้างมาตั้งแต่ต้นเสียแล้ว ก็เหมือนกับว่าได้เลือกคำตอบมาแล้ว แต่หากเราสามารถหาเหตุผลและถกเถียงกันบนฐานของข้อมูลที่แท้จริง เราอาจได้ข้อยุติได้โดยไม่ยากนักหากเราใช้เหตุผลเพียงพอ คำถามก็คือ ท่าทีต่างๆ ที่สร้างความสับสนนี้ อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลหรือไม่ และใช้ข้อมูลอย่างถูกต้องหรือไม่
นอกจากนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน่วยงานบางแห่งดำเนินนโยบายผิดพลาดหรือมีปัญหานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้เสมอตราบใดที่เรายังเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานว่าหน่วยงานนั้นมีบทบาทและหน้าที่อย่างไร อย่างกรณีของธปท.นั้น ถือว่าเป็นหน่วยงานที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม และนโยบายของธปท.ต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น บางมาตรการอาจส่งผลเสียต่อบางกลุ่ม แต่บางมาตรการบางกลุ่มได้ประโยชน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผลสุดท้ายเกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมหรือไม่
เราเห็นว่าการถกเถียงในเรื่องนโยบายนั้น อาจสร้างความหงุดหงิดให้กับผู้ดำเนินนโยบาย ทั้งธปท. หรือ แม้แต่รัฐบาล แต่ที่ผ่านมา เรามักถกเถียงกันในระดับความรู้สึกค่อนข้างมาก ยิ่งในยุคที่มีผู้เชี่ยวชาญมากในขณะนี้ บางครั้ง ผู้เชี่ยวชาญก็พูดจากความรู้สึกเสียมากกว่าข้อเท็จจริง เราเห็นว่าหากต้องการให้เกิดการสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง มีทางเดียวเท่านั้นก็คือ หากเป็นการถกเถียงนโยบายสาธารณะ เราต้องตั้งสติด้วยการใช้ข้อมูลอย่างแท้จริง หาไม่แล้ว ความขัดแย้งจะยิ่งบานปลายและไม่อาจหาข้อยุติได้







