'ขาใหญ่' เดินสายปั้นอีเว้นท์หาเงิน

หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศไปเมื่อ 1 มกราคม 2556
หลายธุรกิจออกอาการ "ไม่ไหว" กับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ยังไม่นับรวมต้นทุนในส่วนอื่นๆ ที่จะต้องแบกรับ
โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ยังปรับตัวไม่ได้ หลายๆ บริษัทเริ่มตัดโน่น ลดนี่ เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่อาจต้องหยุดกิจการ
แน่นอนว่า ความเดือดร้อนที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญเวลานี้ นอกเหนือค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจโลกก็ใช่ว่าจะดีเลิศ จนพอจะทำให้การส่งออกของไทยเติบโตได้เหมือนในอดีต ผู้ประกอบการจำนวนมากจึงต้องปรับกลยุทธ์ธุรกิจแบบ "ตัวใครตัวมัน" เพื่อความอยู่รอด
ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันก่อน คงมองเห็นความเดือดร้อนที่ว่านี้ จนถึงขั้นต้องออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 30 คน เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรง 300 บาท ซึ่งถือเป็นทีมใหญ่ทีเดียว มีบทบาทหน้าที่คอยหาแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอี กำหนดกรอบการใช้เงินให้ความช่วยเหลือจากงบกลางฉุกเฉินเร่งด่วน กับเอสเอ็มอีในรูปแบบต่างๆ
เช่นเดียวกับกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ไม่น้อยหน้า ออกมาเสนอแผนช่วยเอสเอ็มอี ลดผลกระทบจากค่าแรง 300 บาท แผนการช่วยเหลือทุกหน่วยงานมุ่งเน้นไปที่การอัดฉีดสภาพคล่อง ชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ย ปรับปรุงเครื่องจักร ซึ่งอยู่ 5 มาตรการ บอกว่า อาจต้องใช้งบตรงนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท
หากมองย้อนกลับไปทุกยุคทุกสมัย เมื่อไหร่ที่ผู้ประกอบการมีปัญหาต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งที่ปรากฏ หน่วยงานก็มักจะหยิบยกแผนการเดิมๆ มา "ปัดฝุ่น" ทำคู่ขนานไปกับการขอใช้งบประมาณ ในแต่ละช่วงแต่ละปีซึ่งมีอยู่ไม่น้อย แต่จะมีสักกี่หน่วยงานที่จะตรวจสอบหรือติดตามประเมินผลของความช่วยเหลือที่ได้รับไปว่าออกมาเป็นอย่างไร
มาถึงวันนี้ ผลกระทบค่าแรงงาน 300 บาท กำลังจะกลายเป็น "แฟชั่น" ที่หลายกระทรวง หลายหน่วยงาน เริ่มคิด "แคมเปญ" หาแง่มุมที่จะจัดงานลดผลกระทบค่าแรง 300 บาทกันยกใหญ่
แม้ว่าการหามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจะถือเป็นเรื่องดี แต่การให้นั้น ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือไม่ หรือทำไปเพียงเพราะต้องการใช้จ่ายงบประมาณเท่านั้น
ตอนนี้ ได้ข่าวแว่วๆ มาว่า มี "ขาใหญ่" บางคน เดินสายชักจูงหน่วยงานที่ปล่อยสินเชื่ออย่าง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ธนาคารกรุงไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) รวมไปถึงภาคเอกชน ให้เข้าร่วมจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงและค่าเงินบาท ภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะหาผู้ประกอบการเข้าร่วมให้ได้ 500 คน
วิธีคิด ดูเหมือนอยากช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างจริงจัง แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ปรากฏรูปแบบงานที่จะดำเนินการ หรือแทบจะหาความชัดเจนไม่ได้ ทำให้หลายกลุ่มที่ถูกชักชวนเข้าร่วม เกิดข้อสงสัยว่า งานนี้จะช่วยผู้เดือดร้อนหรือหาเงินช่วยใคร?
อยากฝากไปถึงทุกๆ หน่วยงานว่า อย่าเอาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ ไปเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ หรือเพียงเพื่อต้องการสนองใครบางกลุ่มเท่านั้น และที่สำคัญยิ่ง การจะให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ก็ต้องช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการแท้จริง อย่าทำเพียงแค่ คิดอีเว้นท์หรือจัดสัมมนา เพราะงานลักษณะนี้ ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ แต่กลับยิ่งทำให้สูญเสียงบประมาณไปโดยใช่เหตุ
นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะผู้นำรัฐบาล ควรจะต้องเข้มงวดตรวจสอบการเนรมิตโครงการอย่างนี้ขึ้นมา เพราะเข้าข่ายจะเป็นการแอบอ้างช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเรื่องค่าแรงหรือค่าเงินให้ได้ ไม่เช่นนั้น อาจถูกมือดีผุดสารพัดโครงการช่วยเหลือขึ้นมา จนผู้เดือดร้อนอาจถึงขั้นสำลักมาตรการช่วยเหลือตายได้!







