เปลี่ยนชุด (ความคิด)

แนวโน้มเศรษฐกิจในขณะนี้เราคงเห็นสัญญาณการชะลอตัวได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความผันผวนที่เกิดขึ้นส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลก ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จนผู้นำหลายประเทศเชื่อว่าเราอาจต้องพบกับภาวะ Hard Landing หรือการกระแทกอย่างรุนแรงก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นตามมาโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

ประเทศไทยก็หนีภาวะดังกล่าวไปไม่พ้น เพราะทุกประเทศทั่วโลกต่างก็อยู่บนระบบนิเวศเดียวกัน ระบบการผลิต การขนส่ง ฯลฯ ล้วนเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ฟองสบู่ดอตคอม วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติซับไพรม์ ก็ล้วนส่งผลกระทบถึงทุกประเทศ ไม่ว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม

ซ้ำร้ายแนวโน้มการกีดกันทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาตั้งป้อมกีดกันสินค้าจากจีน ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปอีก เพราะบทบาทของจีนในการเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้าราคาถูกป้อนให้กับทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากมาตรการอันเข้มงวดของสหรัฐฯ ทำให้สินค้ามีราคาสูงกว่าเดิม​ แล้วยังมาซ้ำเติมด้วยวิกฤติการด้านพลังงานที่กำลังเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ที่ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

การปรับตัวในช่วงเวลานี้จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการจำเป็นต้องเปลี่ยนชุดความคิดของตัวเองให้รับกับภาวะความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ได้ ซึ่งมีแนวทางที่ผมรวบรวมให้แล้วประมาณ 8 ข้อ

ข้อแรกคือ ต้องแยกแยะระหว่างปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้กับปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะการที่เราใส่ใจกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากเกินไปย่อมทำให้เราเสียเวลาไปกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์และอาจทำให้เราเสียโอกาสที่จะได้จัดการสิ่งที่ควรทำ

นั่นก็คือการใช้เวลาจัดการกับปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การลดต้นทุน การปรับกระบวนการทำงาน ฯลฯ แทนที่จะวิตกกังวลว่าสงครามรัสเซียยูเครนจะยืดเยื้อไหม ภาวะเงินเฟ้อจะรุนแรงแค่ไหน ฯลฯ

ข้อสอง ต้องควบคุมอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้น เพราะในภาวะเช่นนี้มักมีความขัดแย้งมากกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยความที่มีปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมากมายเช่นสงครามที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเชียร์กัน หรือการลงทุนที่ผันผวนรุนแรงในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี

เราอาจต้องพบเจอกับคนที่อารมณ์เสียจากเรื่องเหล่านี้จนทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งการซึมซับเอาอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เข้ามาอาจทำให้เราเสียสมาธิจนตัดสินใจบางอย่างผิดพลาด หรือรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ข้อสาม รับมือกับฝ่ายตรงข้ามให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทคู่แข่ง หรือคู่แข่งที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันก็ตาม การเป็นคู่แข่งไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นศัตรูเสมอไป เพราะเมื่อไรก็ตามที่เขาประสบความสำเร็จ เราสามารถเรียนรู้จากเขาได้เสมอ

คู่แข่งจึงเป็นครูของเราได้หากเราใจกว้างเพียงพอ เพราะเมื่อเราเปิดใจยินดีชื่นชมกับความสำเร็จของเขา ก็จะทำให้เราได้ทบทวนว่าทำไมเขาถึงทำได้ดีกว่าตัวเรา มีอะไรที่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก ความพ่ายแพ้ที่เรามีให้เขาจึงเป็นบทเรียนสำคัญให้เราพัฒนาขึ้นได้ในอนาคต

ตรงกันข้ามกับคนที่มองความสำเร็จของคู่แข่งด้วยความอิจฉาริษยา ซึ่งมักคิดว่าเขาได้ดีเพราะโชคช่วย ทำงานสำเร็จเพราะบังเอิญ จิตใจจึงเต็มไปด้วยความโมโห หมั่นไส้ ซึ่งเป็นอารมณ์เชิงลบไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นต่อตัวเรา 

….ติดตามข้ออื่นๆได้ในตอนต่อไปครับ