อวสานของเหรียญคริปโท?

อวสานของเหรียญคริปโท?

“กระแส”  ของเหรียญคริปโทที่อ้างว่าจะกลายเป็นเงินดิจิทัลใน “โลกแห่งอนาคต”  ซึ่งรวมถึง  “เมตาเวอร์ส” ที่เป็น “โลกเสมือน” ที่คนอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งนอกเหนือจากการใช้ชีวิตใน “โลกจริง”  ที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว 

 และพัดแรงขนาดที่ทำให้โลกการเงินและการลงทุนปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน     คนจำนวนเป็นล้านล้านคนโดยเฉพาะที่เป็น “คนรุ่นใหม่” แทบทั้งโลกต่างก็เข้ามาลงทุนและเกี่ยวข้องในนวัตกรรมใหม่นี้ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่กำลัง “ปฏิวัติโลก”  ในแทบทุกด้าน  ซึ่งรวมถึงงานศิลปะที่เรียกว่าเหรียญ “NFT” เพื่อขายให้กับคนที่สนใจงานศิลป์ หรือการผลิต “ที่ดินเสมือน” ขึ้นมาเพื่อขายให้กับ “นักเล่นที่”  ที่อาจจะอยากซื้อไว้เก็งกำไรหรือลงทุน “ทำธุรกิจ” ที่ต้องการ “หน้าร้านเสมือน” ไว้ขายของ

 กระแสของเหรียญคริปโทนั้นดูเหมือนว่าจะมาตามการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องถูก “กักอยู่ในบ้าน”  และต้องทำงานและใช้ชีวิตผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก  ซึ่งก็ทำให้มีเวลาเหลือที่จะลงทุนเงินที่อาจจะได้รับจากรัฐบาลหรือเงินเก็บที่แทบจะไม่มีดอกเบี้ย  และคนก็อาจจะเริ่มเห็นว่าเหรียญคริปโทนั้นปรับตัวขึ้นเร็วมากเนื่องจากมันมีจำนวนจำกัด 

 

และเมื่อราคาขึ้นไปก็ส่งผลให้คนใหม่เข้าไปลงทุนและดันราคาขึ้นไปอีก  ถึงจุดหนึ่งเหรียญที่เป็นที่นิยมเช่นบิตคอยน์ก็ถูก “Corner”  ราคาขึ้นจากประมาณ 9,000-10,000 ดอลลาร์ กลายเป็น 30,000-40,000 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 2-3 เดือน  และหลังจากนั้นที่ อีลอน มัสก์ เข้ามาร่วม “เล่น” ราคาก็ขึ้นไปถึง 60,000 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 5-6 เดือน

 

  หลังจากนั้น  “สตอรี่” หรือเรื่องราวที่มา Support หรือสนับสนุนราคาบิตคอยน์หรือเหรียญคริปโทก็ตามมา  รวมถึงการประกาศการสร้าง “เมตาเวอร์ส” ของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก   ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เหรียญ NFTเกิดขึ้น แพลตฟอร์มการซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัลเกิดขึ้นทั่วไปในหลายๆ  ประเทศ  ทุกอย่างกลายเป็นทรัพย์สินและธุรกิจที่มีค่ามหาศาล 

สตาร์ทอัพจำนวนมากกลายเป็น  “ยูนิคอร์น”  คือมีมูลค่าตลาดของกิจการเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ กว่า 30,000 ล้านบาท  “ฮีโร่” ที่มักจะอายุน้อยและมีความมั่งคั่งเป็นหมื่นหรือบางคนเป็นแสนล้านบาทเกิดขึ้น  พวกเขาเป็น  “ไอดอล”  ที่ไม่มีวันตกแน่นอน  อนาคตยังไปอีกยาวไกล

 เวลาผ่านไป 2 ปี พร้อม ๆ กับโควิด-19 ที่เริ่มจางหายไป  และตามมาด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน  สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  เม็ดเงินทั่วโลกกำลังจะลดลงซึ่งนั่นทำให้การเก็งกำไรที่  “บ้าคลั่ง” ลดลงมาก  ราคาของสินทรัพย์ที่เคยสูงลิ่วเพราะการเก็งกำไรตกลงมาอย่างหนัก 

หุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มดิจิทัลตกลงมาแรงกว่า 30% กลายเป็นวิกฤติตลาดหุ้น  และแน่นอนว่าเหรียญคริปโทก็หนีไม่พ้น  การตกลงมาของเหรียญเหล่านั้นสูงยิ่งกว่าหุ้นมาก  เหตุผลหรือ “สตอรี่” ก็คือ  ทรัพย์สินดิจิทัลเหล่านั้น  “ไม่มีพื้นฐาน”  รองรับ  มันมีค่าเพราะมีคนต้องการซื้อมัน  ถ้าไม่มีคนต้องการ  ค่าของมันคือ “ศูนย์” เพราะมันไม่มีการจ่ายปันผล

 บิตคอยน์ที่เป็น  “เสาหลัก” ของเหรียญคริปโทตกลงไปจากจุดสูงสุดกว่า 60,000 ดอลลาร์ เมื่อ 8 เดือนก่อน เหลือเพียงประมาณ 19,200 ดอลลาร์ หรือตกลงไป 70%  เหรียญอีเธอร์เรียมที่จะเป็นเหรียญที่นำมาใช้ได้มากมายและเป็นฐานของเหรียญอื่นตกลงมาจาก 4,650 ดอลลาร์ เหลือ 1,045 ดอลลาร์ หรือตกลงมา 78% ในเวลาเดียวกัน 

เหรียญเทอร่าและลูน่าซึ่งถูกออกแบบให้มีราคาเท่า ๆ  กับเงินดอลลาร์ตลอดเวลาที่เรียกว่า Stable Coin นั้น  ราคาตกลงมาแทบจะเป็นศูนย์ดอลลาร์  เหรียญ “สุนัข” ด็อกคอยน์ที่อีลอนมัสก์เชียร์ตกลงมาประมาณ 90% เหลือ 0.064 ดอลลาร์ และนี่ก็คือเหรียญที่ไม่ได้ใช้ทำอะไรนอกจากเก็บสะสมไว้เล่น ๆ และเอาไว้เก็งกำไร

  นอกจากราคาที่ตกลงมาอย่างหนักแล้ว  ความ “ล่มสลาย” ของกิจการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดิจิทัลก็เริ่มผุดขึ้นมากมาย  เข้าทำนอง  “น้ำลดตอผุด” หรือที่บัฟเฟตต์หรือเซียนหุ้นคนอื่นพูดว่า  It’s only when the tide goes out that you learn who’s been swimming naked  ความหมายคือ  “เฉพาะเมื่อกระแสน้ำลดลงหมดเท่านั้นที่เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้าว่ายน้ำ”

 เริ่มตั้งแต่แพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญคริปโทของแคนาดาชื่อ Quadriga ที่ “โกงลูกค้า” โดยการรับและจ่ายเงินการซื้อขายเหรียญเข้าบริษัทโดยไม่ได้ซื้อขายให้จริงแต่ทำตัวเป็นแบบแชร์ลูกโซ่  สุดท้ายก็ล้มและเจ้าของซึ่งเป็นคนหนุ่มที่เป็น “ไอดอล” ของคนหนุ่มสาว ไปเสียชีวิตที่อินเดีย “อย่างมีเงื่อนงำ”  และรหัสการเข้าไปในระบบของแพลตฟอร์มซึ่งมีเขาคนเดียวที่รู้หายไป  ดังนั้น  เงินของลูกค้าทุกคนก็กลายเป็นศูนย์  และนี่ก็เป็นหนังสารคดีที่ผมเพิ่งดูใน NETFLIX  และเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่บิตคอยน์จะบูมด้วยซ้ำ

 ยังมีเรื่องราวการโกงและการล่มสลายอีกมากมายที่เพิ่งเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ที่เขียนไม่หมดแต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ  เรื่องราวหรือสตอรี่ที่พูดกันว่าเหรียญคริปโทต่าง ๆ จะเปลี่ยนโลก  คนจะหันมาซื้องานศิลปะแบบ NFT  หรือเรื่องราวอื่น ๆ  อีกมากที่ผมคิดว่ามีความ “เวอร์” เกินความเป็นจริง

เพราะประสบการณ์ที่พบในโลกของดิจิทัลนั้น  อะไรก็ตามถ้ามันเป็นเรื่องจริง  การเกิดขึ้นจะรวดเร็วมาก  ตัวอย่างเช่น พวกสื่อสังคมที่กระจายตัวเร็วมากหลังจากที่เกิดนวัตกรรมขึ้นมา  แต่ในกรณีของเหรียญคริปโทนั้น ที่จริงนวัตกรรมก็เกิดขึ้นนานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว  แต่การใช้จริง ๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังแทบไม่เห็น  คุณบอกได้ไหมว่ามีร้านไหนในประเทศไทยรับเหรียญคริปโท?

 ดังนั้น  จึงมีความเป็นไปได้ว่า  กระแสและการปรับตัวขึ้นของคริปโทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น  อาจจะเป็นเรื่องของการเก็งกำไรที่สุดโต่งในสังคม  และเวลานี้กำลังเป็นช่วง “อวสาน” ที่ราคาอาจจะตกลงต่อหรือไม่กลับมาอีกนานพร้อม ๆ  กับความสนใจในเรื่องเหล่านี้ที่จะจางหายไป  แน่นอนว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนก็ยังอยู่และมีประโยชน์  แต่คนจะใช้ในการแก้ปัญหาบางอย่างที่เหมาะสมเท่านั้น  ซึ่งไม่ใช่เรื่องเงินหรือเรื่องของศิลปะที่ของเดิมก็ดีพออยู่แล้ว  เป็นต้น