ความฝันของผู้นำ

ความฝันของผู้นำ

คนทุกคนย่อมมีความฝัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ในวัยเรียน วัยรุ่น คนทำงาน นักธุรกิจเจ้าของกิจการ หรือแม้กระทั่งผู้นำในองค์กรใหญ่ๆ

แม้ความฝันของคนเรา จะแตกต่างกันออกไปตามช่วงวัย สถานะและหน้าที่ แต่แน่นอนว่าทุกคนต้องมีความฝันว่าอยากจะได้อะไร หรืออยากเป็นอะไรในชีวิต ความฝันก็เปรียบเหมือนกับเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่นำทางให้เราประสบความสำเร็จ
 

หากเราลองถามผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตว่าเขาสามารถก้าวมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร ผมเชื่อว่าคำตอบที่อยู่ในใจก็คือ เขามีความฝันและสานฝันจนสำเร็จนั่นเอง
 

อย่าง "เจ้าสัว" ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผมคิดว่าท่านคงไม่ได้มีความฝันแค่อยากจะมีฟาร์มเลี้ยงเป็ดเล็กๆ
 

ดังนั้นความสำเร็จจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยก็ขึ้นอยู่กับความฝัน หากวาดฝันไว้อย่างยิ่งใหญ่ ผลลัพธ์ของความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่กว่าคนที่ฝันไว้เล็กๆ ความฝันของผู้นำในแต่ละองค์กร ก็เปรียบได้กับการกำหนดโชคชะตาให้แก่องค์กรว่า ในที่สุดนั้นองค์กรจะเดินไปในทิศทางใด มีวิธีการและกลยุทธ์อย่างไร และจะบรรลุความสำเร็จในระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับความฝันของผู้นำ ในที่นี้ "ความฝันและจินตนาการ" คือสิ่งเดียวกัน
 

“ไอน์สไตน์” เคยพูดไว้ว่า “จินตนาการ สำคัญยิ่งกว่า ความรู้” ในขณะที่หลายๆ คนกล่าวว่า “ความฝัน ก็คือ จินตนาการ” ซึ่งก็คือการเห็นภาพของความสำเร็จและความต้องการมุ่งไปสู่จุดนั้น ผู้นำที่มีจินตนาการจะใช้ความพยายาม ความคิด ความมุ่งมั่นและไขว่คว้าโอกาสทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา เพื่อจะได้นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามที่ฝันไว้
 

แต่หากผู้นำไม่มีจินตนาการ ไม่มีความฝัน เขาก็จะไม่รู้จักจับฉวยโอกาสนั้นๆ ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อองค์กร แม้โอกาสจะมาถึงแล้วก็ตาม ดังที่คุณพ่อของผมเคยสอนเอาไว้ว่า “โชคและโอกาสดี จะไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก โชคและโอกาส ไม่ได้วิ่งมาหาเรา เราต้องเตรียมพร้อมและเดินไปแสวงหาอยู่เสมอ” 
 

ซึ่งหมายถึงว่า ในบางครั้งที่เรารออยู่ แต่โชคและโอกาสก็ไม่ได้เกิดขึ้น ในทางกลับกันบางครั้งเราไม่ทันตั้งตัว โชคหรือโอกาสกลับวิ่งเข้ามาหาเราครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เราต้องพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย 
 

ดังนั้นหากเรามีความพร้อม มีความสามารถ มีพื้นฐานที่ดีและคอยแสวงหาอยู่เสมอ เมื่อโชคและโอกาสมาถึง เราย่อมจับฉวยไว้ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์แก่เราเป็นเท่าทวีคูณ
 

บทความของฝรั่งหลายๆบทความพูดถึงว่า ความฝันและจินตนาการจะมีพลังได้นั้นต้องอาศัย “Passion”  คำว่า “Passion” ที่ฝรั่งเค้าพูดถึงนั้นหมายถึง “ความปรารถนาอันแรงกล้า”  ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ส่วนตัวของผมเองก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมี “Passion” ในใจ      
 

สำหรับผม “Passion” “ความฝัน” หรือ “จินตนาการ” มีความหมายที่คล้ายคลึงกัน  แต่ต่างกันตรงระดับของความจริงจัง เมื่อคนคนหนึ่งหรือผู้นำมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นแล้ว  เขาย่อมจะใส่ใจ มุ่งมั่นและคิดค้นวิธีการเพื่อจะไปให้ถึงความปรารถนานั้นให้ได้
 

ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่มี “Passion” ไม่มีความฝันและจินตนาการ ก็ยาก...ที่จะประสบความสำเร็จ
 

ตัวอย่างเช่น ในการทำงาน คนที่มี “Passion” ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ มักจะทำงานอย่างมุ่งมั่น ทุ่มเท เพราะมีจุดมุ่งหมายว่าตนเองต้องการอะไรและต้องทำอย่างไร แต่คนที่ไม่มี “Passion” อะไรเลยก็จะทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ทำงานไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าในแต่ละวัน บางครั้งตื่นมายังไม่รู้เลยว่าวันนี้ตัวเองจะทำอะไร นั่งที่โต๊ะทำงานแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มทำอะไร
 

ดังนั้น ความสำเร็จของสองคน ระหว่างคนที่มี “Passion” กับคนที่ไม่มี “Passion” จึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดราวฟ้ากับดิน  ขอให้ทุกคนจงมีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจเสมอ
 

“หากดีแต่พูด ไม่ลงมือทำ ความคิดก็ไม่อาจเป็นจริงได้” หนึ่งในปรัชญาการทำงานของ ดร.เทียม โชควัฒนา