การลงทุนในดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์

การลงทุนในดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์

ECB จะดำเนินนโยบายเข้าซื้อพันธบัตรของกลุ่มประเทศ Eurozone ที่มีปัญหาหนี้ ภายใต้ชื่อ Program ว่า Outright Monetary Transactions (OMT)

เมื่อบ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา “Super Mario” Mario Draghi หัวหน้าใหญ่ของ European Central Bank (ECB) ได้ออกมาประกาศชัดเจนว่า ECB จะดำเนินนโยบายเข้าซื้อพันธบัตรของกลุ่มประเทศ Eurozone ที่มีปัญหาหนี้ (อาทิเช่น สเปน โปรตุเกต อิตาลี) ภายใต้ชื่อ Program ว่า Outright Monetary Transactions (OMT) แม้ชื่อเท่ห์ไม่แพ้ Quantitative Easing (QE) ของ Ben Bernanke จากฝั่งของ U.S. Federal Reserve (Fed) เลยนะครับ

 

แต่ OMT ของ Super Mario @ ECB ในครั้งนี้ มีความพิเศษกว่า QE ของ Bernanke @ U.S Fed ตรงศัพท์คำว่า “U word” หรือ Unlimited กล่าวคือ ECB จะดำเนินการโครงการ OMT โดยไม่จำกัดวงเงิน (ไม่เหมือน QE1 and QE2 ของ Bernanke ที่มีการกำหนดวงเงินไว้ชัดเจน) ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน ซึ่งกำลังแคลงใจกับระบบธนาคารกลางยุโรป อีกทั้งเป็นการการันตีว่าเงินสกุล Euro จะยังคงมีอยู่ต่อไป

 

การดำเนินการเข้าซื้อพันธบัตรอย่างไม่จำกัดดังกล่าว ในสภาวการณ์ภายใต้รูปแบบของระบบการเงินในปัจจุบัน สามารถกระทำได้ครับ  เนื่องจากเงินตราสกุลหลักๆ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ดอลลาร์ ยูโร หยวน เยน หรือ ปอนด์สเตอร์ลิง ต่างไม่ได้ผูกยึดกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้ใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของรัฐบาล และหรือ ระบบการเงินในแต่ละโซนหรือแต่ละประเทศ เป็นหลัก

 

 

ระบบการเงินที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่าระบบการเงินแบบ Fiat Money System ซึ่งธนาคารกลางที่ดูแลนโยบายการเงินของสกุลต่างๆ อาทิเช่น U.S. Federal Reserve (FED)  European Central Bank (ECB)  The People’s Bank of China (PBC) Bank of Japan (BOJ)  Bank of England (BOE) ต่างสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินได้หลากหลาย เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งความมั่นคงของระบบการเงิน (Financial Stability) ของระบบ Fiat ดังกล่าว

 

หลักการในการรักษาระบบการเงินปัจจุบันเอาไว้ของ ECB ครั้งนี้ โดยเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตร ก็ไม่แตกต่างไปจากการดำเนินนโยบายที่ทั้ง FED BOJ และ BOE ได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่องหลายปี นั่นก็คือ การพิมพ์เงินออกมา และเข้าไปซื้อตราสารหนี้ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นได้ทั้งตราสารหนี้ภาครัฐ หรือตราสารหนี้ภาคเอกชน 

 

การจุดประกายของ ECB ดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าวในรอบนี้ (6 ก.ย.) ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงประเภทที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหากเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น อาทิเช่น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ สินค้าพลังงาน โลหะมีค่า โลหะอุตสาหกรรม หรือสินค้าเกษตร น่าจะกลับมาเป็นทางเลือกเป็นที่น่าสนใจของหมู่นักลงทุนอีกครั้ง 

 

   

การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ นักลงทุนสามารถเลือกที่จะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แยกเป็นรายตัว เช่น ทองคำ เงิน หรือ น้ำมัน หรือจะลงทุนทีเดียวทั้งกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์รวม หรือ กลุ่มย่อย เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร หรือ กลุ่มสินค้าพลังงาน 

 

 

ซึ่งต้องการจะลงทุนสินค้าแยกเป็นรายตัว ทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนไทย อาจจะทำได้ด้วยการ

 

 

1. ซื้อ Physicals หรือสินค้าจริงๆ มาเก็บไว้ เช่น ซื้อทองคำมาเก็บไว้ที่บ้าน ซื้อข้าวหรือยางมาเก็บไว้ในโกดัง 

 

 

2. ซื้อ Exchange Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงกับสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น ETF ทองคำ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

 

3. ซื้อกองทุนรวมจาก (บลจ.) ที่ไปซื้อ ETF ชนิดนั้นๆ อีกทีในต่างประเทศ เพราะ ETF ในไทยยังไม่มี เช่น น้ำมันดิบ หรือมีแต่ยังอยากออกต่างประเทศ เช่น ทองคำ (นักลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียมสองต่อ) 

 

 

4. ลงทุนใน Futures Exchange อย่าง AFET หรือ TFEX

 

 

แต่หากประสงค์ที่จะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แบบเป็นกลุ่มๆ ไม่เฉพาะเจาะจงลงไป สินค้าใดสินค้าหนึ่ง ต้องลงทุนในลักษณะของดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Index) ซึ่งมีการสร้างขึ้นมาจากหลายค่ายหลายสำนัก โดยตัวที่มีชื่อเสียง และเป็นที่นิยมใช้อิงราคากันสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่

 

 

- Reuters/Jefferies CRB Index 

 

 

- S&P Goldman Sachs Commodities Index (S&P GSCI)

 

 

- Dow Jones-UBS Commodity Index Futures  (DJ-UBS)

 

 

- Rogers International Commodities Index (RICI)

 

 

ความแตกต่างกันระหว่างดัชนีแต่ละประเภท ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ที่ถูกนำมารวมอยู่ในดัชนี รวมถึงน้ำหนัก (Weight) ของสินค้านั้นที่มีผลต่อดัชนีดังกล่าวด้วย เช่น ใน Reuters/Jefferies CRB Index จะประกอบด้วยสินค้า 17 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีผลต่อดัชนีเท่าๆ กัน (equality weighted ชนิดสินค้าละ 5.875%) 

 

 

ขณะที่ใน RICI ที่ประกอบด้วยสินค้า 38 ชนิด ผู้สร้าง (Jim Rogers) ได้ให้น้ำหนักของแต่ละกลุ่มสินค้าลดหลั่นกันไป ตามความสำคัญของแต่ละชนิดสินค้า (ตามความเห็นของ Rogers) อาทิเช่น น้ำหนักสำหรับสินค้าน้ำมันดิบ (WTI + Brent) มากที่สุด 35% รองลงไปเป็น ข้าวสาลี 4.75% ข้าวโพด 4.75% ฝ้าย 4.2% อะลูมิเนียม 4% ทองแดง 4% ถั่วเหลือง 3.35% ทองคำ 3% ขณะที่ให้น้ำหนักในสินค้าเกษตรสำคัญของบ้านเราอย่างยางพารา และข้าว ไว้ที่เพียง 1% และ 0.75% เท่านั้น 

 

สำหรับดัชนีแต่ละประเภท แบ่งออกเป็นดัชนีย่อยอีก อาทิเช่น RICI - Agriculture จะเป็นดัชนีราคาสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเกษตร 22 ชนิด หรือ RICI - Industrial Metal ซึ่งเป็นดัชนีราคาสำหรับสินค้าโลหะอุตสาหกรรม 6 ชนิดเป็นต้น

 

 

ในต่างประเทศ นักลงทุนจะเข้าลงทุนในดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ข้างต้นได้ โดยผ่าน ETF ที่มีให้เลือกหลากหลาย และหรือ รวมไปถึงถ้าใจกล้าพอก็สามารถเข้าลงทุนใน Futures ในดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ เช่น เข้าลงทุน Futures ของ Reuters/Jefferies CRB Index ที่ตลาด ICE (NYBOT) ในขณะที่ Futures ของ S&P GSCI และ Futures ของ DJ-UBS จะมีการซื้อขายกันที่ตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME)

 

 

นักลงทุนไทยที่อยากลงทุนในดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ที่ว่านี้ ไม่ว่าเป็นในกลุ่มย่อยที่เป็นดัชนีสินค้าเกษตร หรือประเภททั้งกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เลย ตอนนี้ทำได้ดีที่สุดคือ ไปซื้อกองทุนรวมของ บลจ. ในประเทศ ที่ไปซื้อ ETF ในต่างประเทศอีกถอดหนึ่ง แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อเช่นกัน โดยต้องจ่ายให้ทั้งผู้บริการกองในบ้านเรา และผู้บริหารกองในต่างประเทศ นักลงทุนควรต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียมในแต่ละกองทุน อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าลงทุนนะครับ