คนควรอาย กลับไม่อาย?

ผมสงสัยว่าเหตุใดสื่อไทยของเราจึงเบลอหน้าฝ่ายชาย เพราะน่าจะเป็นฝ่ายหญิงเสียมากกว่า
ภาพที่แพร่สะพัดในหนังสือพิมพ์ และโลกออนไลน์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นภาพหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง หุ่นดี หน้าตาสะสวย กำลังเปิดหน้าอกอันงดงามและเต่งตึงของเธอให้เห็นทั้งสองข้างอย่างเต็มจอ พร้อมรอยยิ้มร่าเริง ในขณะที่หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง กำลังใช้มือของเขาบีบ ทรวงอกทั้งสองข้างของเธอแบบเต็มๆ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ในงานการกุศลเพื่อหาเงินต่อต้านโรคเอดส์ โดยชายหนุ่มทั้งหลายที่มีความประสงค์จะจับและบีบ ทรวงอกสาวสวยอย่างเต็มมือทั้งสองข้าง สามารถทำได้ด้วยการเข้าคิวบริจาคเงิน จากนั้นก็มีสิทธิบีบปทุมถันได้ทั้งสองข้าง ข้างละสองครั้ง ถ้าหากอยากจะทำมากกว่าสองครั้ง ก็ต้องกลับไปเข้าคิวบริจาคใหม่ อีกครั้งหนึ่ง
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นครับ และถ้าใครนำความคิดอย่างนี้ มาใช้ในประเทศไทย ก็คงต้องมีคนรับผิดชอบที่หลุดจากตำแหน่ง หรือถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน แต่นี่เป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสังคมเรา เขาจึงทำกันอย่างเปิดเผย และการที่แพร่ภาพไปทั่วโลกก็คงไม่ได้ทำให้สังคมญี่ปุ่นเดือดร้อนแต่อย่างใด
ทันทีที่ผมเห็นภาพนั้น ในหน้าหนังสือพิมพ์ไทย ผมรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นภาพที่ชัดเจนมาก ทั้งใบหน้า และปทุมถันของหญิงสาวคนนั้น ไม่มีการคาดปิด หรือทำภาพให้เบลอแต่อย่างใด ในขณะที่ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังบีบปทุมถันของเธอและเห็นใบหน้าของเขาเพียงด้านข้าง กลับถูกเบลอทั้งส่วนใบหน้าและศีรษะของเขาทั้งหมด
ผมเลยเกิดความรู้สึกงุนงงว่า ระหว่างหญิงสาวที่เปิดอกให้ผู้ชายบีบ กับ ชายหนุ่มซึ่งกำลังบีบ และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่สาธารณะนั้น ใครควรจะ “อาย” มากกว่ากัน ซึ่งความจริงก็น่าจะ “อาย” ทั้งคู่ ใช่ไหม แต่ถ้าใช้มาตรฐานแบบไทย คนที่น่าจะอายมากกว่า ควรเป็นฝ่ายหญิงมิใช่หรือ แต่ทำไม่ฝ่ายหญิงกลับเริงร่า เปิดเผยทั้งใบหน้าและปทุมถัน ขณะที่ฝ่ายชาย กลับได้รับการปกปิดใบหน้าไว้
พูดง่ายๆ คือผมสงสัยว่า เหตุใดสื่อไทยของเราจึงเบลอหน้าฝ่ายชาย เพราะน่าจะเป็นฝ่ายหญิงเสียมากกว่า ผมก็เลยทำการบ้านเพิ่มเติมทางอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาความจริงว่า ภาพต้นแบบจริงๆ นั้นเป็นเช่นใด และก็พบว่าภาพต้นแบบจากญี่ปุ่น ก็เป็นภาพเดียวกับที่สื่อไทยได้นำมาลงนั่นแหละ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ชินจูกุ ย่านพลุกพล่านของนครโตเกียว และเป็นงานที่คึกคัก กิจกรรมดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ระหว่างวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 25-26 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา และมีหญิงสาว 10 คนสลับกันมาด้วยความเต็มใจให้ชายหนุ่มจับและ บีบ (Squeeze) ปทุมถันของเธอ หน้าตาเรือนร่างของเธอล้วนสะสวย และไม่มีใครปิดบังตัวตนทั้งสิ้น ดูภาพตัวอย่างหญิงสาวสามคนนี้ก็ได้
แต่ที่ทำให้ผมถึง บางอ้อ ก็คือหญิงสาวทั้งสิบคนนั้น เธอเป็นดาราแสดงนำ ในภาพยนตร์สำหรับ “ผู้ใหญ่” ซึ่งมีดีวีดี วางจำหน่ายอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องปิด บังใบหน้าของเธอ แต่ที่ทำให้สื่อญี่ปุ่นต้องปกป้องฝ่ายชายไว้ ด้วยการเบลอใบหน้า ผมเดาเอาเองว่า อาจจะ ห่วงสวัสดิภาพของพวกเขา ว่าจะไม่ปลอดภัยจากผู้บัญชาการที่บ้าน ก็เป็นได้
ข่าวไม่ได้บอกว่าหนุ่มๆ จะต้องบริจาคอย่างต่ำเท่าใด จึงจะมีสิทธิได้จับและบีบทรวงอก และไม่ได้เปิดเผยว่าพวกเธอได้ค่าตัวเท่าใดหรือไม่ แต่ก็บอกว่าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในผับที่ญี่ปุ่น เป็นเรื่องธรรมดา คือเมื่อชายหนุ่มจ่ายเงิน ก็ขอจับถันของพนักงานเสิร์ฟสาวสวยได้ เพียงแต่งานนี้เกิดขึ้นในที่สาธารณะ เท่านั้นเอง
ภาพนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า เรื่องของ “ความอาย” นั้น ย่อมมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แต่เหตุที่ทำให้อาย อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม นอกจากนั้น ความรู้สึกอาย ก็ยังขึ้นอยู่กับมาตรฐานในใจของแต่ละบุคคลอีกด้วย เพราะการกระทำบางอย่าง แม้จะรู้ว่าไม่มีใครเห็นหรือทราบ แต่คนบางคนก็อายแก่ใจตัวเอง ส่วนกรณีที่มีคนเห็นหรือทราบ ก็อายเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีพฤติกรรมเช่นนี้ อย่างเช่นเวลาตำรวจจับนักการพนันตามบ่อนต่างๆ เรามักเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ใช้หนังสือพิมพ์ หรือเสื้อ หรือ ฝ่ามือ ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยความอาย เป็นต้น
วัฒนธรรม หรือค่านิยม ในสังคมที่ต่างกัน ยังทำให้เห็นพฤติกรรมที่ต่างกันด้วย เช่นหญิงขายบริการของไทย เวลาที่พวกเธอถูกตำรวจบุกเข้ากวาดล้าง เธอยังมีความอาย และพยายามปิดบังใบหน้าของเธอไว้ แต่ดาราสาว เรทเอ็กซ์ ของญี่ปุ่น เธอกลับออกมายืนในที่สาธารณะให้คนเป็นร้อยเป็นพันได้เห็น และให้ชายหนุ่มแปลกหน้าบีบถันของเธอ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ
แต่ผมก็มีข้อสังเกตว่า ในขณะที่ดาราหนังเอ็กซ์ญี่ปุ่น เปิดเผยตัว เปิดเผยทรวงอก ในที่สาธารณะได้อย่างไม่เอียงอาย แต่นักการเมือง ข้าราชการ หรือนักธุรกิจญี่ปุ่น ซึ่งถูกพบว่าพัวพันกรณีทุจริต มักจะหน้าบาง รู้สึกอับอาย ลาออกจากตำแหน่งอย่างง่ายดาย แต่บ้านเราตรงกันข้าม เพราะในขณะที่หญิงบริการ รู้สึกอายเมื่อถูกตำรวจกวาดล้าง แต่นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริต กลับดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้รู้สึกอับอายเท่าใดนัก
น่าคิดว่า นักธุรกิจ ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะ “ผู้จ่าย” นั้น เป็นเพราะ “ไม่มีทางเลือก” หรือว่า “มีทางเลือก แต่เลือกที่จะจ่าย” ประเด็นนี้ มีความเชื่อทั่วไปว่า การทำธุรกิจในเมืองไทยถ้าหากไม่จ่าย ธุรกิจก็ติดขัดและสะดุดไปหมด จึงจำเป็นต้องจ่าย ซึ่งนักธุรกิจจำนวนไม่น้อย ก็อิดหนาระอาใจ ดังนั้นระยะหลังจึงเริ่มรวมพลังกัน เพื่อพูดเสียงดังๆ พร้อมกันว่า “ฉันจะไม่จ่ายเธออีกแล้วนะ” (แต่จะได้ผลเพียงใด ก็ต้องติดตามกันต่อไป)
ความจริงหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่บริจาคเงินช่วยรณรงค์โรคเอดส์ ก็มีทางเลือก คือใส่เงินบริจาคลงไปในตู้บริจาค แล้วไม่ต้องไปเข้าคิวเพื่อรอจับ “...” ก็ได้ (ก็กลับบ้านสิครับ ที่บ้านไม่มีคิวเลย... 555) แต่ความเย้ายวนใจของหน้าอกหน้าใจของหญิงสาว ทำให้พวกเขา เลือกเข้าคิวใช้สิทธิ ส่วนนักธุรกิจไทยนั้น หลายคนบอกว่าแทบไม่มีทางเลือก เพราะถ้าไม่จ่าย ก็จะทำธุรกิจค่อนข้างยาก นอกจากนั้นตัวเลขยังเพิ่มขึ้นทุกวี่วัน จนขณะนี้ 30 - 35% กลายเป็นเรื่องธรรมดา ในบางวงการ ไปเสียแล้ว
อยากรู้เหมือนกันนะว่า ถ้าบังเอิญวันไหนสื่อไทยเกิดหา “ใบเสร็จ” ได้ และมีภาพนักธุรกิจ กำลังจ่ายเงินให้แก่ นักการเมืองหรือข้าราชการขึ้นมา วันนั้นสื่อไทยจะเบลอภาพ “ฝ่ายให้” หรือ “ฝ่ายรับ” แต่ผมคิดว่าสังคมคงอยากเห็นภาพที่ "ชัดแจ๋ว ไม่ต้องเบลอเลย" ดีที่สุด
ว่าแต่จะไปหาภาพเช่นนั้น ได้จากที่ไหนเล่าครับ




