RISK OFF” vs. “RISK ON

RISK OFF”  vs. “RISK ON

วิกฤติหนี้ในยุโรปดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้อย่างง่ายๆ เมื่อกรีซไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้..จึงต้องจัดให้มีรัฐบาลฉุกเฉิน

คอลัมน์ TMB : Enrich Your Life ///อาสา อินทรวิชัย

ประเด็นวิกฤติหนี้ในยุโรปดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้อย่างง่ายๆ เมื่อกรีซไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลหลังจากผลการเลือกตั้งวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา จึงต้องจัดให้มีรัฐบาลฉุกเฉิน (Emergency government) เพื่อดำเนินการให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 มิ.ย. รัฐบาลกรีซมี debt profile ที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. จนถึงปลายปี 2012 มากถึง USD 22.95 Bln และค่าความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Credit Default Swap หรือ CDS 5 ปี) ได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 8,580bps ต่อปี (CDS ของประเทศไทยอยู่ที่ 170bps ต่อปี) เรียกง่ายๆ ได้ว่า  Greece ได้เข้าสู่สภาวะ “Default” อย่างเต็มตัวแล้ว

 

 

หากพิจารณาหลายวิกฤติการเงินในอดีต (Global financial crisis) แล้ว เราพบว่าความไม่แน่นอนในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ (Debt crisis, Saving and Loan crisis หรือ Banking crisis) สามารถนำไปสู่ความผันผวนของทุก asset class ได้รุนแรงกว่า และใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่า วิกฤติการเงินอื่นๆ (เช่น Stock market crash)  สภาวะที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งๆ ไม่สามารถชำระหนี้ได้มักส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศข้างเคียง (Contagion effects) เพราะรัฐบาลของประเทศในอาณานิคม EU มักลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (หรือให้ความช่วยเหลือในรูปของเงินกู้) ของประเทศภายใต้เขตเศรษฐกิจเดียวกัน  จึงไม่น่าแปลกใจที่สถานการณ์ของประเทศเล็กๆ อย่าง Greece (ผนวกกับของประเทศใหญ่ๆ อย่าง สเปน) จะนำไปสู่ความผันผวนต่อราคาน้ำมัน ราคาทอง ค่าเงิน EURO และตลาดหุ้นทั่วโลก ดังที่เกิดขึ้นในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา

 

 

หลายเรื่องหลายประเด็นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและขาย EUR อย่างหนัก ส่งผลให้ EUR อ่อนค่าลงจาก 1.324 ณ ต้นเดือนพ.ค. ไปเป็น 1.234 ในต้นเดือนมิ.ย.  นอกจากนั้น High-Beta currency (AUD, NZD, KRW และ INR) ยังอ่อนค่าอย่างแรงในลักษณะเดียวกัน   เงินสกุล AUD อ่อนค่าจาก 1.047 ลงสู่ระดับ 0.972 ในช่วงเวลาเดียวกัน  ความผันผวนไม่ได้เกิดขึ้นในตลาด Spot เท่านั้น แต่ยังได้ขยายวงกว้างไปถึง ตลาดหุ้นทั่วโลก Commodities อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และค่า Swap point ของหลายสกุลเงิน

 

 

ผมขออนุญาตใช้ EUR/USD swap point อายุ 1 ปี (หรือ FX swap) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนเพราะเป็นตัวสะท้อนความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี  กล่าวคือ EUR/USD Swap point  ได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจาก 46bps ไปเป็น 88bps ในเวลาเพียง 1 เดือนเศษ  การปรับขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าค่า EUR จะอ่อนค่าต่อเนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะที่หาทางออกไม่ได้ เทรดเดอร์และนักลงทุนต่างยินดีควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อ Forward เพื่อ Swap จาก Euro funding ไปเป็น USD funding (เราเรียกสภาวะนี้ว่า “RISK OFF” คือ นักลงทุนหลีกเลี่ยง Risky assets ทั่วโลก) พร้อมกับซื้อสัญญา Forward (เพื่อซื้อ EUR ในอนาคตไปคืนเงินที่กู้มาในสกุล EUR) ความต้องการ USD ที่สูงมากส่งผลให้ EUR/USD swap point อายุ 1 ปี สูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงระดับ 88.7bps ซึ่งเป็น New High ในรอบ 5ปีที่ผ่านมา นับย้อนไปตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2007 เลยทีเดียว

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มเห็นแสงรำไรจากการแถลงการณ์ของ FED ในคืนวันที่ 6 มิ.ย. จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ และทำให้เศรษฐกิจยุโรปสามารถพลิกฟื้นจาก crisis ได้ ทำให้นักลงทุนเริ่มเปลี่ยน mode เป็น “RISK ON”  และลด position (หรือการ unwind trade) ใน EUR/USD swap point  ทำให้ EUR/USD swap point ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็น 66bps และเมื่อเป็น “RISK ON” ค่าเงิน EUR  เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นจาก 1.228 เป็น 1.257 อีกครั้ง ราคาทองปรับตัวขึ้นจาก USD1,531 เป็น USD1,620  รวมถึงราคาน้ำมันในลักษณะเดียวกัน

 

 

การที่ EUR/USD Swap point ปรับตัวสูงขึ้นจาก 46bps เมื่อกลางเดือนเม.ย. เป็น 88bps ต้นเดือนมิ.ย. นั้น หลายท่านตั้งข้อสังเกตว่า มาจากความต้องการสำรองสภาพคล่องจากวิกฤติหนี้ในยุโรป  แต่หากเรามองทีละขั้นแล้ว จะพบว่าการที่ EUR/USD Swap point ปรับสูงขึ้นนั้น แปลว่า มีความต้องการเงิน USD funding ผ่านการกู้เงิน EUR พร้อมกับ Buy EUR Forward ... การ “Buy EUR Forward” มากๆ สะท้อนในรูปของราคา Swap point ที่สูงขึ้น กล่าวคือ มีคนยอมจ่ายเงินซื้อ EUR Forward ในราคาที่แพงขึ้น จาก +46 เป็น +88bps (มีแรงซื้อ EUR เยอะ = EUR แข็งค่า = EUR ขึ้นจาก 1.23 เป็น 1.26 (1 EUR แลก USD ได้มากขึ้น)...

 

แต่หากต้องการเตรียมการรับวิกฤติยุโรป Trader ควรจะสำรองสภาพคล่องในสกุลเงิน EUR มากกว่าสกุล USD  ดังนั้นการที่ EUR/USD Forward สูงขึ้นนี้น่าจะมาจากการทำ Asset Allocation มายัง USD Assets (ขายสินทรัพย์สกุล EUR และทอง และเข้าถือ USD) ..... ดังที่ได้กล่าวข้างต้นว่าเป็น “RISK OFF” mode นั่นเอง  เราสังเกตได้ชัดเจนว่า ราคาทองมีทิศทางสวนทางกับ EUR/USD Swap point  และเมื่อตลาดเปลี่ยนจาก “RISK OFF” (ลดการถือครอง EUR) ไปเป็น “RISK ON” (ลดการถือครอง USD + เพิ่ม Risky assets) จึงเห็นแรงซื้อเข้ามาใน ทอง น้ำมัน ตลาดหุ้นทั่วโลก และ EUR/USD อีกครั้ง แม้ว่าอาจจะเป็นการเพิ่มช่วงสั้นๆ ก็ตาม