Facebook IPO ใครได้ ใครเสีย

สำหรับธุรกิจ Social Media คงไม่มีข่าวไหน ที่น่าติดตามยิ่งกว่า การเข้าตลาดของ Facebook
โดยที่ก่อนหน้านี้ ได้คาดคะเนว่า อาจสร้างมูลค่าถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่างบประมาณแผ่นดินของหลายประเทศ แม้กระทั่งประเทศไทย
IPO ของ Facebook ได้ทำให้ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 29 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 22,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า แม้กระทั่ง Sergey Brin และ Larry Page ผู้ก่อตั้ง Google อย่างไรก็ดี Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft และ Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle ยังมีทรัพย์สินมากกว่า ที่ 60,400 ล้านดอลลาร์ และ 34,200 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ
Mark Zuckerberg มิใช่ผู้เดียว ที่ได้เป็นอภิมหาเศรษฐีพันล้าน (ดอลลาร์) ยังมี Dustin Moskovitz, Eduardo Saverin, Sheryl Sandberg ฯลฯ ผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้บริหารระดับสูง ที่ได้เป็นอภิมหาเศรษฐีพันล้าน นอกจากนี้ยังมีมหาเศรษฐีร้อยล้าน และเศรษฐีสิบล้าน (ดอลลาร์) กว่าร้อยคน ซึ่งเป็นพนักงาน ผู้ร่วมลงทุนก่อนเข้าตลาดฯ ที่ได้ประสบความมั่งคั่งจากการเข้าตลาดของ Facebook
แต่ถึงกระนั้น ข่าวคราวที่น่าสนใจ ไม่แพ้การเข้าตลาดของ Facebook คือการที่ ราคาหุ้น กลับลดต่ำกว่า IPO และมิได้ทะยานสู่อวกาศ อย่างที่นักลงทุนและบุคคลทั่วไปอาจได้คาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ จนกระทั่งอาจมีการฟ้องร้อง เป็นคดีความ กับ Mark Zuckerberg และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ถึงการปิดบังข้อมูลในเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อการประเมินราคาของ Facebook จนทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า IPO ของ Facebook ประสบความล้มเหลว
อย่างไรก็ดี ที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ มีเศรษฐีใหม่หลายร้อยคน ได้ถือกำเนิดขึ้น จากการเข้าตลาดในครั้งนี้ ดังนั้นหาก Facebook IPO ล้มเหลวจริง ใครเป็นผู้ได้และใครเป็นผู้เสีย
Facebook ถูกก่อตั้งในปี 2004 ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา มีผู้ร่วมลงทุน ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ แรงงาน และเงินตรา ที่มีสูตรคำนวณแลกเปลี่ยนเป็นหุ้นตามแบบฉบับของ Silicon Valley ผู้ลงทุนความคิดสร้างสรรค์ คือ Mark Zuckerberg และผู้ก่อตั้งอื่นๆ ผู้ลงทุนแรงงานคือพนักงานชุดแรกๆ และผู้ลงทุนเงินตราคือ Venture Capitalists และ Angel Investors ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้ มี Exit Strategy คือการ Cash Out เมื่อ Facebook เข้า IPO และสามารถขายหุ้น ซึ่งมีมูลค่าเป็นร้อยหรือพันเท่าของต้นทุน ทั้ง 3 กลุ่มนี้ คือผู้ได้ผลประโยชน์โดยตรงจาก IPO ของ Facebook
IPO เป็นครั้งแรกที่บุคคลทั่วไปจะสามารถซื้อหุ้น Facebook ได้ ซึ่งอาจมีราคาเป็นร้อยหรือพันเท่า เมื่อเทียบกับต้นทุนของผู้ร่วมลงทุน ที่ได้กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้ และราคานี้ ถูกคำนวณ โดยคำนึงถึง Return on Investment ในอนาคต โดยมิได้เปรียบเทียบราคาต้นทุนของ Mark Zuckerberg และผู้ก่อตั้งอื่นๆ
ดังนั้นหากปรากฏถึงข้อมูลในเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อ Return on Investment ที่มิได้ถูกคำนวณไว้ก่อน IPO ราคาหุ้นย่อมจะตกลง และผู้เสียผลประโยชน์คือบุคคลทั่วไป ที่อาจได้หุ้นมาด้วยราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง เพราะมิได้มีโอกาสร่วมลงทุนใน Facebook ก่อนเข้าตลาด แต่ทั้งนี้เมื่อปัจจัยเปลี่ยนและราคาหุ้นสูงขึ้น บุคคลทั่วไปอาจได้ประโยชน์ก็เป็นได้ แต่ก็ยากที่จะมีโอกาสได้กำไรเป็นร้อยหรือพันเท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มของ Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้
นอกเหนือจากนี้ ผู้ได้ผลประโยชน์ทางอ้อม คืออุตสาหกรรม Social Media เพราะเมื่อ Venture Capitalists และ Angel Investors ได้กำไรเป็นร้อยหรือพันเท่า จาก Facebook ย่อมมีเงินตราสำหรับลงทุนในโครงการอื่นๆ ที่มีโอกาสจะเป็นเหมือน Facebook ต่อไปในอนาคต ส่วนผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และแรงงาน ย่อมมีการตื่นตัว และอยากมีส่วนร่วมในโครงการที่จะมีโอกาสเหมือน Facebook ในอนาคตเช่นกัน
เรื่องราวของ Facebook IPO ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แต่เป็นวัฏจักรของการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่างเป็นระบบที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ Sillicon Valley ซึ่งแม้แต่ในเพื่อนบ้านของไทย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และไม่ต้องกล่าวถึง ฮ่องกง เกาหลี และจีน ล้วนมีธุรกิจ Social Media ที่สามารถไปถึง IPO ได้
แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่เรื่องราวอย่างนี้ กลับมิได้เกิดขึ้นในประเทศไทย







