เรื่องวุ่นๆ ของการเมืองต่างประเทศกับการลงทุน

เรื่องวุ่นๆ ของการเมืองต่างประเทศกับการลงทุน

ปัจจุบันหากนักวิเคราะห์รายใดหยิบยกประเด็นการเมืองมาอภิปราย เนื้อหาจะดูไม่น่าสนใจเลย หากไม่มีการพูดถึง “การเมืองในต่างประเทศ”

“การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว” ในอดีตถ้ามีใครหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาพูด นักลงทุนชาวไทยคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเมือง “ไทย” ไม่มีผลต่อการลงทุนในตลาด “ไทย” เพราะการเมืองไทยเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรื่องปากท้องและการคุมราคาสินค้า มาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ เหล่านี้ กระทบกับการลงทุนในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ไทยทั้งสิ้น 

 

ทว่าในปัจจุบันหากนักวิเคราะห์รายใดหยิบยกประเด็นการเมืองมาอภิปราย เนื้อหาจะดูไม่น่าสนใจเลย หากไม่มีการพูดถึง “การเมืองในต่างประเทศ” ประสบการณ์ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา คงทำให้นักลงทุนทุกท่านตระหนักว่า การเมืองในต่างประเทศส่งผลต่อการลงทุนในตลาดไทยยิ่งกว่าการเมืองไทยเองเสียอีก ไล่มาตั้งแต่กลางปีที่แล้วที่เราหัวปั่นกับความเห็นต่างของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐ เมื่อครั้งที่ต้องขยายเพดานการก่อหนี้ ตามด้วย การแก้ปัญหาของกลุ่มยูโรที่ดูกระท่อนกระแท่นเพราะขาดนโยบายทางการเมืองที่ชัดเจนในการร่วมมือแก้ปัญญาวิกฤติหนี้สาธารณะ ในปี 2555 นี้ การเมืองต่างประเทศก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนทั้งโลกรวมทั้งไทย โดยเฉพาะช่วงนี้ สายตาทุกคู่ของนักลงทุนต่างจ้องไปยังผู้นำยุโรป โดยเฉพาะประเทศกรีซ 

 

 

แม้ช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าวิกฤติหนี้สาธารณะจะดูคลี่คลายลงไป แต่ปัญหากรีซได้กลับมาหลอกหลอนนักลงทุนอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้ต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่เสถียรภาพทางการเมือง หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในการจัดรัฐบาลผสมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีของกรีซได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย. 2555 ทั้งนี้ พรรคการเมืองใหญ่ 3 พรรคของกรีซประกอบไปด้วยพรรค PASOK และ New Democracy ที่สนับสนุนมาตรการรัดเข็มขัดแบบเข้มงวด และพรรค Syriza ที่มีนโยบายต่อต้าน IMF และไม่ต้องการจะลดงบประมาณ เนื่องจากต้องการผลักดันให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวอีกครั้ง จะต้องแข่งขันกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลสำรวจล่าสุด พรรค PASOK และ New Democracy กลับมามีคะแนนนำอีกครั้ง เป็นครั้งแรกนับแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือน พ.ค. 

 

 

ในขณะเดียวกันพรรค Syriza เริ่มมีเสียงอ่อนลงบ้างหลังประกาศว่า ยังมีความมุ่งมั่นที่จะอยู่ในยูโรต่อไป ทำให้ความไม่แน่นอน/ความเสี่ยงก่อนการเลือกตั้งสูงขึ้นอีก ซึ่งหากพรรค Syriza ชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะทำให้เกิดช่วงสุญญากาศต่อไป หรือหากแม้นตั้งรัฐบาลสำเร็จ ก็จะมีนโยบายที่ขัดแย้งกับทรอยก้าและผู้นำสหภาพยุโรป ซึ่งทั้ง 2 กรณีต่างมีโอกาสสูงที่จะทำให้มาตรการช่วยเหลือทางการเงินถูกระงับได้ ปัจจัยการเมืองดังกล่าว ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ประชาชนกรีซแห่ถอนเงินออกจากธนาคารกรีซเพื่อถือเงินสดในรูปยูโรไว้ และอาจจะทำให้ธนาคารกลางยุโรปลังเลที่จะปล่อยเงินช่วยเหลือกรีซเพราะเสี่ยงที่จะขาดทุนสูง 

 

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้กรีซมีความเสี่ยงที่จะไม่มีเงินสดเพื่อจ่ายหนี้และใช้จ่ายอื่นๆ ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. และกดดันให้กรีซอาจต้องยอมเลือกที่จะพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใช้เองและออกจากยูโรไป แต่ผลของการที่กรีซออกจากยูโรย่อมทำให้เกิดปัญหาลุกลาม (Contagion Risk) ไปยังประเทศที่เหลือและฉุดให้เศรษฐกิจโลกกลับไปสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง โดยล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้มีการประชุมสุดยอดผู้นำยูโรอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นครั้งแรกที่ในที่ประชุมได้มีการร้องขอให้แต่ละประเทศเริ่มเตรียมแผนฉุกเฉิน (Contingency Plan) เพื่อรับมือกรณีที่กรีซจะต้องออกจากยูโร ดิฉันจึงขอให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ในกรีซอย่างใกล้ชิดทั้งเรื่องการสำรวจผลเลือกตั้ง ท่าที/นโยบายของพรรค Syriza และท่าทีของผู้นำสหภาพยุโรป

 

นอกเหนือจากสถานการณ์การเมืองในยุโรปที่ค่อนข้างยุ่งเหยิง และได้รับการกล่าวถึงอย่างมากแล้ว หากจะมองออกไปไกลอีกหน่อยในช่วงปลายปีนี้  ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี (6 พ.ย. 2555) ซึ่งน่าจะเป็นตัวตัดสินว่าประชาชนสหรัฐจะเลือกแนวคิดการลดการขาดดุลการคลังแบบไหนระหว่างแนวคิดของพรรคเดโมแครตที่ไม่ต้องการให้ลดงบประมาณด้านรักษาพยาบาลและสวัสดิการสังคม แต่ต้องการให้รัฐหารายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีธุรกิจและภาษีคนมีรายได้สูง ต่างจากแนวคิดของพรรครีพับลิกันที่ต้องการเน้นการลดรายจ่าย 

 

 

การดำเนินนโยบายดังกล่าวจะผลกระทบต่อตลาดลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดิฉันขอยกเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นสัก 2 กรณีด้วยกัน เรื่องแรก คือ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาชะลอตัวลงอีกครั้งในครึ่งหลังของปี เพราะไม่ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาลในปีหน้าก็จำเป็นต้องเดินหน้าแผนลดการขาดดุลเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว (โดยนักวิเคราะห์จาก Bank of America-Merrill Lynch ประเมินว่าในกรณีที่รัฐบาลใหม่ปฏิบัติตามแผนลดการขาดดุลทั้งหมดทันทีจะเป็นเงินมูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ และทำให้ GDP ของสหรัฐฯ หายไปถึง 4.6%) ทำให้ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจสหรัฐต้องปรับตัวก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2555 นี้ โดยลดการลงทุน ลดการบริโภคและเพิ่มการออม ซึ่งคงจะซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกนอกเหนือจากเศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มว่าจะตกต่ำสุดในครึ่งปีหลังเช่นกัน ปัจจัยนี้จะบั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ หากในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มว่าคะแนนนิยมในประธานาธิบดีโอบามาและพรรคเดโมแครตสูงกว่ารีพับลิกัน จะส่งแรงกดดันต่อกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และภาคธุรกิจตามนโยบายของพรรคเดโมแค

 

รตจะลดการขาดดุล ผ่านการเก็บภาษีเพิ่มจากผู้มีรายได้สูงมากกว่าการลดรายจ่ายสวัสดิการให้กับประชาชน 

 

 

เรื่องที่สอง คือ ช่วงสุญญากาศหรือภาวะไร้ผู้นำหากพรรครีพับลีกันเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง เนื่องจากในระยะเวลาระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีต้นเดือน พ.ย. จนถึงวันที่ประธานาธิบดีคนใหม่สาบานตนในวันที่  20 ม.ค. 2556 จะมีเหตุการณ์สำคัญคือ กฎหมายลดภาษีของอดีตประธานาธิบดีบุช (ผู้ลูก) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “Bush tax cut” จะครบกำหนดลงประมาณปลายเดือน ธ.ค. 2555 การพิจารณาจะต่ออายุมาตรการนี้หรือไม่ ท่ามกลางช่วงรอยต่อทางการเมืองโดยเฉพาะหากผู้ชนะการเลือกตั้งไม่ใช่ประธานาธิบดีโอบามาเป็นเรื่องที่นักวิเคราะห์มีความเป็นห่วง และอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนได้เหมือนเมื่อครั้งขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะในเดือน ก.ค.และ ส.ค.ปีที่ผ่านมา

 

กบข.ได้ติดตามประเด็นการเมืองต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ และนำมาเป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ (scenario analysis) ที่เป็นไปได้ว่ามีกรณีใดบ้าง โอกาสที่จะเกิดขึ้นมากน้อยอย่างไร และที่สำคัญคือนักลงทุนได้คาดการณ์ไปแล้วหรือรับรู้ไปแล้ว (price in) มากน้อยเพียงไร เพื่อให้การตัดสินใจนำเงินของสมาชิกกว่า 1.2 ล้านคน เป็นไปอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งมีแผนรองรับหากเหตุการณ์กรณีไม่เป็นไปตามที่คาดไว้