สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน

สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน

นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า ชาร์ลส ดาร์วิน เคยกล่าวทฤษฎีหนึ่งเอาไว้เกี่ยวกับกระบวนการของธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการว่า

 “ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สัตว์สปีชี่ส์ใดๆ มีชีวิตอยู่รอดและวิวัฒนาการได้เป็นเวลานาน ไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับความแข็งแรงหรือความฉลาดของสัตว์สปีชี่ส์นั้นๆ แต่คือ ความสามารถใน การปรับตัว ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัวมากกว่า”

 จะว่าไปแล้ว ในมุมมองของมนุษย์อย่างเราๆ ความเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการของธรรมชาติเรียกได้ว่าเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป กว่าที่สัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดจะมีวิวัฒนาการใหม่เกิดขึ้น หรือสูญพันธุ์บางครั้งใช้เวลาเป็นแสนเป็นล้านปี แต่ถ้าเรานำแนวคิดดังกล่าว มาใช้มองในบริบทของสังคม เศรษฐกิจ ธุรกิจ ในโลกปัจจุบัน ผมเชื่อว่าเราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

 ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ หรือธุรกิจในโลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งการเชื่อมต่อ ทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมมนุษย์เรามีน้อยอย่างมากที่จะไม่อยู่ในห่วงโซ่ของความเปลี่ยนแปลงเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ท่านผู้อ่านที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง The Butterfly Effect คงพอนึกออกว่าผมหมายความว่าอย่างไร

 ถ้าจะให้ยกตัวอย่างทางสังคมที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือความรวดเร็วของความเสื่อมที่นำมาซึ่งการล่มสลายของลัทธิการปกครองแบบเผด็จการในหลายๆ ประเทศ ถ้าเรามองย้อนไปในอดีต กว่าที่ลัทธิการปกครองแบบนี้จะจบลงได้ บางครั้งใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี แต่ปัจจุบันด้วยอำนาจของสื่อและเทคโนโลยีทำให้โลกทัศน์ของประชาชนในประเทศเหล่านั้นกว้างขึ้น

 การเชื่อมต่อยังทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางมวลชนอย่างรวดเร็ว ข่าวสารการถูกทำร้ายถูกส่งผ่านสู่โลกเสรีก่อเกิดเป็นแรงกดดันจากภายนอกที่เมื่อรวมกับความต้องการของประชาชนภายในประเทศแล้วก็นำมาซึ่งการล่มสลายหรือขับไล่ผู้นำเผด็จการออกจากอำนาจได้อย่างรวดเร็ว

 ทีนี้เราลองกลับมามองในบริบทของโลกธุรกิจกันบ้างครับ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโลกธุรกิจเป็นอะไรที่ dynamic และเต็มไปด้วยการแข่งขันและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตและเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้ว คำว่า dynamic หรือ ความเปลี่ยนแปลง อาจไม่ใช่คำอธิบายได้ดีที่สุด คำที่ผมคิดว่าเหมาะจะอธิบายความเป็นจริงของโลกธุรกิจในปัจจุบันได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า chaos กับคำว่า unpredictable มากกว่า

 โลกของเราเคยพบกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาก่อน ในสมัยของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นก็เช่น ระบบและกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงโครงสร้างการบริหารขององค์กรอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เป็นต้น ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานขององค์กรธุรกิจและอื่นๆ เนื่องด้วยเห็นผลสัมฤทธิ์จากอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เหล่านั้น

 แต่ในความ chaos และ unpredictable ของโลกแห่งเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อ ท่านผู้อ่านคิดหรือครับว่าระบบพื้นฐานที่ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยโน้นจะสามารถรับมือกับโลกปัจจุบันได้ แม้ว่ากระบวนการต่างๆ จะถูกปรับเปลี่ยนและมีวิวัฒนาการตามยุคสมัยก็ตาม

 ที่ผมพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าระบบที่เรามีอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของโลกยุคอุตสาหกรรมที่เน้นเรื่องของ ความมีประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรง ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทุกองค์กรก็คงไม่อยากไปเปลี่ยนแปลงหรือ adapt ตรงนั้นเพราะฟันเฟืองก็ยังคงหมุนและสร้างเป็นสินค้าและบริการได้อย่างต่อเนื่อง

 ผมคิดว่าโลกของเราในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า จะเป็นโลกที่อธิบายได้ด้วยประโยคที่ว่า “สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน” ได้อย่างดี ผมเชื่อว่าในอนาคตเราอาจไม่สามารถ วางแผน หรือ พยากรณ์ อะไรได้มากนัก และผมเชื่อว่าในอนาคตสิ่งสำคัญของทุกองค์กรที่ควรจะมีก็คือ mindset ที่สามารถรับมือ หรือถ้าจะให้ดีต้อง ยินดีน้อมรับ ความไม่มั่นคง ความไม่แน่นอนของทุกสิ่งบนโลกนี้ให้ได้

 ผมคิดอีกเช่นกันว่า โลกธุรกิจในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องน้อมรับ chaos และ unpredictability ให้ได้ ผมไม่ได้จะบอกว่าการวางแผนระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ผมต้องการบอกว่าการวางแผนต้องมาควบคู่กับความพร้อมในการปรับตัวอย่างกะทันหันให้ได้เช่นกัน

 และผมยังคิดไปอีกว่าจะยิ่งดีไปกว่านั้นถ้าหากองค์กรธุรกิจนั้นๆ ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของ chaos และ unpredictability เสียเอง

 ตัวอย่างธุรกิจที่ลุกขึ้นมาสร้าง chaos เสียเองก็เช่น apple ที่ไม่สนใจ OS มาตรฐานที่คนทั่วไปใช้และลุกขึ้นมาสร้าง OS ของตัวเองและสร้างเป็น eco system ของเขาเอง รวมถึงการนำเทคโนโลยี touch screen มาใช้กับสินค้าสุดฮิตของตัวเองอย่าง ipod ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเพราะขายดีอยู่แล้ว แต่กลับนำมาซึ่งสินค้าที่ตามมาและประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคือ iphone และ ipad

 หรืออีกตัวอย่างก็เช่น facebook ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและไม่มีใครพยากรณ์ ได้มาก่อนก็เพราะเขาเป็นองค์กรที่ยินดีรับความเปลี่ยนแปลงและลุกขึ้นมาสร้าง chaos ด้วยตัวเองเช่นกัน ล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนหน้าแรกของเราให้เป็น timeline แทนการแสดงข้อมูลแบบเดิม ซึ่งก็มีคำวิจารณ์และข้อติชมมากมาย แต่เขาไม่สนใจ หรือการตัดสินใจเปิดกว้างให้บุคคลที่ไม่ใช่นักศึกษาสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก facebook ได้ ผมเชื่อว่าทั้ง apple และ facebook รู้ดีว่าถ้าหากตัวเองไม่ลุกขึ้นมาสร้าง chaos เสียเอง ไม่นานบรรดาคู่แข่งก็จะสามารถพยากรณ์และวางแผนงานในการแข่งขันกับทั้งสองบริษัทได้ไม่ยาก

 แล้วคุณล่ะครับ กล้าที่จะลุกขึ้นมาสร้าง chaos ของตัวเองในโลกธุรกิจบ้างหรือเปล่า?