การขึ้นราคาของสินค้าและบริการในยุคโลกาภิวัตน์

การขึ้นราคาของสินค้าและบริการในยุคโลกาภิวัตน์

สภาพเศรษฐกิจและการดำรงชีพของคนไทยขณะนี้ กำลังอยู่ในภาวะฝืดเคืองเต็มที่ พ่อค่าแม้ขายต่างบ่นว่า ค้าขายลำบาก ต้นทุนสูง

วัตถุดิบแพงขึ้นทุกชนิด โดยเฉพาะ น้ำมัน กับค่าไฟฟ้า
 

ซึ่งหน่วยงานราชาการทั้ง ธปท.และ ก.พาณิชย์ ต่างคาดว่า เงินเฟ้อจะพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ซึ่งแม้ไม่บอก ประชาชนต่างรู้สึกได้อยู่แล้วถึงปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้นนี้ แต่อาจไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และยังอาจเข้าใจผิดคิดว่า รัฐบาลอาจจะแก้ไขได้ ไม่มากก็น้อยเช่นที่แล้วมา


แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะไม่เป็นอย่างที่คิดกัน และหลังจากวันแรงงานปีนี้แล้ว ราคาที่เพิ่มสูงไปเกินขนาดนี้ จะปรับตัวเข้าที่ โดยลดลงบ้างเล็กน้อยตามกลวิธี แต่จะหยุด ณ ระดับราคา ที่เพิ่มสูงจากเดิมมากอย่างถาวร ตามที่ได้ตั้งใจขึ้นไปตั้งแต่แรกแล้วนั้น
 

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นสภาพจริงใหม่ของสภาพความสัมพันธ์ของ “ธุรกิจ  รัฐบาล และสังคม” ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้ ภายหลังการเกิดสภาวะโลกาภิวัตน์ขึ้นในโลกจนเกิดผลเต็มที่ ดังเช่น แม้แต่ AEC ก็จะเริ่มใช้งานกันแล้ว เหล่านี้ ทำให้อำนาจของธุรกิจ และรัฐบาลเปลี่ยนจากเดิมไปแล้ว
 

กลเม็ดในการขึ้นราคาสินค้าที่ทำกันในครั้งหลังๆ นี้ "ธุรกิจ ต่างมีกำลังอำนาจ"  จึงทำได้อย่างสบายและง่ายดาย ภายใต้พฤติกรรม “มือถือสาก ปากถือศีล” คือ ในด้านการค้า การสร้างผลกำไรก็ยังทำไป ขณะการสร้างภาพมี CSR ที่ว่าไปอีกทางก็ยังมีอยู่ แม้จะเป็นบริษัทมหาชนก็ไม่เว้น และจะขาดจิตสำนึกในฐานะการเป็นกิจการอันเป็นสาธารณะใดๆ กับไม่ต้องมีความเกรงกลัวต่ออำนาจของรัฐบาล เพราะ “ราชการ” ได้มีการเปลี่ยนสภาพจากที่เคยเป็น สิงห์ที่มีพลังอิทธิพลเหนือกว่ากับมีอำนาจกำกับควบคุมธุรกิจ ได้เปลี่ยนกลายมาเป็นแมวที่แสนเชื่อง ไม่ต่างกับการเป็นเพียง “หัวหน้าคนใช้” ของธุรกิจรายใหญ่เท่านั้นเอง 
 

ขั้นตอนที่เราเห็นกันในการขึ้นราคา คือ การใช้วิธีเพิ่มราคาสินค้าขึ้นไปสูงลิ่วและไวในพริบตา โดยการขึ้นราคากระทำไปในแบบเกินกว่าเหตุผลและความเป็นจริง โดยธุรกิจขนาดใหญ่ต่างจะอิงอยู่ใกล้ชิดกับ “ธุรกิจการเมือง” ที่มีอำนาจเหนือตลาด พร้อมกับมีการผูกขาด มักจะเป็นหัวหอกที่อาจทำโดยทำไปเองอย่างเอกเทศโดยเปิดเผย หรืออาจมีบางกรณีที่อาจทำทีอ่อนตัวคล้ายกับหวังทำดี โดยเบื้องหลัง คือ “นอมินี หรือเป็นม้าใช้” ให้กับกิจการต่างชาติ โดยไม่ยี่หระต่อรัฐบาลเลยก็มี พูดง่ายๆ คือ อำนาจการขึ้นราคาสินค้าของราชการได้ถูกธุรกิจการเมืองยึดครองเอาไปทำเอง โดยปริยาย
 

แล้วหลังจากที่ได้ฟังเสียงร้องเรียนของประชาชนและสื่อ ที่มีน้ำหนักน้อย กลายเป็นแค่ "เสียงนกเสียงกา" ไปแล้ว ไม่นานนักธุรกิจก็จะคล้ายกับการมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนและไม่คิดค้ากำไรเกินควร  โดยจะยอมลดราคาลงมาบ้าง แต่อัตราการลดจะต่ำมาก และราคาจะสูงค้างฟ้าอยู่ในระดับสูง ที่สูงกว่าเก่ามากๆ โดยจะสูงเป็นการถาวรไปเลยด้วย
 

เท่ากับเป็นการขึ้นราคาสินค้าอย่างมีกลวิธีที่แนบเนียนยิ่ง ทั้งนี้ เพราะในโลกาภิวัตน์ ทำให้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและของธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว นั่นคือ ทำให้กลไกการกำกับและควบคุมของรัฐ จางหายไป โดยอำนาจการต่อรองใดๆ ต้องแผ่วเบาลง จนหลายรัฐบาลต้องมีสภาพกลายเป็น “ลูกไล่” ของพ่อค้านักธุรกิจทุนผูกขาดรายใหญ่ ทั้งในและนอกประเทศ อย่างน่าเกลียดยิ่ง
 

เหตุที่เป็นเช่นนี้ และไม่เป็นไปเช่นในอดีตนั้น สาเหตุเป็นเพราะ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคสารสนเทศ ได้ทำให้เกิดสภาพ ไร้พรมแดน และพลังการเปิดเสรีที่มีเหนือ และเป็นกิจกรรมที่ชี้นำการกระทำทุกอย่าง จากเดิมที่สภาพของธุรกิจ รัฐบาลและสังคม ต่างฝ่ายต่างมีอำนาจคุมเชิงกันอยู่อย่างค่อนข้างจะสมดุลนั้น ได้กลายเปลี่ยนธุรกิจให้กลับมามีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาล ในเวลาเดียวกัน ประชาชนต่างจะอ่อนแอลงและถูกแยกสลายไปด้วย สิ่ง “ล่อใจ” ใหม่ที่มากับเทคโนโลยี คือ การบริโภคที่มากขึ้น ภายใต้สภาพของพรมแดนที่รัฐต่างเลือนหายไป และถูกก้าวข้ามไปได้อย่างง่ายดายด้วยความเป็นระบบเดียวที่ใหญ่ขึ้น ของภูมิภาคกลุ่มประเทศกับของโลก 
 

โดยธุรกิจที่มั่งคั่งและมีพลังทุนใหญ่จะโตขึ้น พร้อมกับการสามารถสื่อเข้าไปถึงประชาชนส่วนใหญ่ได้โดยตรง ด้วยการใช้ระบบเครือข่ายการสื่อสารขนาดใหญ่ทันสมัยที่ขยายตัวมาก จนทำให้สภาพรัฐ เหลือบทบาทเพียง “คนคอยอธิบายเหตุการณ์ หรือทำแต่พิธีการ พร้อมกับคอยเก็บเศษสิ่งของเหลือใช้” เท่านั้น
 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาพดังกล่าว เกิดจากการประสานกันของหลายปัจจัย คือ
 

ก. “เทคโนโลยี” ทำให้การผลิตสินค้าและบริการดีขึ้น ราคาถูกลงมากกับมีความหลากหลายกับการบริโภคที่มากขึ้น
 

ข. เกิดทุนใหม่ที่เป็น "ทุนใหญ่" เกิดขึ้น อันเกิดจากนวัตกรรมการเงินและตลาดทุนเสรีเกิดใหม่ที่มีทุนเอกชนเข้ามาหาประโยชน์ได้มากมหาศาล รวมถึงการใช้เงินนำพาอิทธิพลของตนข้ามพรมแดนไปในชาติอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะด้วยเครือข่ายใหม่ทางการสื่อสาร การขนส่ง หรือการคมนาคม กับการมีการเคลื่อนย้ายถิ่นอาศัยและทันเสรีที่ทำได้อย่างไร้ขอบเขตหรือการควบคุม
 

ค. การสื่อสารที่ก้าวหน้า ทำให้ผู้บริโภคมีกรอบอ้างอิงใหม่ที่จะใช้บริโภค เชื่อ หรือ การเปลี่ยนวิถีชีวิตการดำรงชีพ
 

ง. รัฐบาลที่อ่อนแอลงภายใต้สังคม “ทุนเป็นใหญ่” ทำการติดสินบนทุจริตกันมากขึ้น ทำให้สภาพรัฐยิ่งอ่อนแอลงไป สุดท้ายธุรกิจทุนใหญ่จึงมีอำนาจเหนือต่อรัฐบาลและสามารถสร้างเครือข่ายการติดต่อสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ ได้เอง จนเข้าถึงประชาชนของตนได้ด้วยพลังเสรีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกเศรษฐกิจใหม่
 

ทั้งหมดนี้ คือ เงื่อนไขใหม่ที่เกิดขึ้นจากโลกาภิวัตน์ ทำให้รัฐอ่อนแอลง ภายใต้การเพิ่มขึ้นของอำนาจทุนใหญ่ที่ผูกขาด มีอำนาจเหนือตลาด ทั้งนี้ โดยจะสามารถขยายขอบเขตหรืออาณาจักรการค้าและผลประโยชน์ได้ง่ายดาย ด้วยนโยบาย ที่มาตามสภาพใหม่ของโลก คือ เทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตและการสื่อสาร การระดมทุนในตลาดทุนใหม่ ที่มีการเคลื่อนย้ายเสรี ทำให้ทุนไหลเข้าไปสร้างอิทธิพลเหนือได้ในพรมแดนที่กว้างขึ้น ด้วยการส่งเสริมการบริโภคนิยม การให้สินบนเจ้าหน้าที่ กับการให้สินค้าและบริการที่แปลกใหม่หลากหลาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประชากรของชาติไหน ในที่ใดๆ ที่ต่างก็จะได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่า ต่างก็จะยอมรับ และจับมือกับ “ทุนใหญ่” มองข้ามรัฐบาลของตนไป นั่นเอง ที่ทำให้ทุนผูกขาด สามารถขึ้นราคาสินค้าแพงขึ้น แล้วใช้เพื่อขยายบทบาทของตนในฐานะธุรกิจเอกชน ก้าวข้ามพรมแดนของประเทศต่างๆ ได้อย่างสบาย
 

นี่คือ  ยุคทุนเป็นใหญ่ ที่ทำให้บางคนกับหลายกิจการ คิดถึงและกำลังทำงานตามกลยุทธ์ “ทางรวยสุดขอบฟ้า” หรือ Merger Endgame ที่ผมเอ่ยมาบ่อยๆ