แหกคุกได้.....อย่างน่าอัศจรรย์

การแหกคุกครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ประหนึ่งว่า เป็นเรื่องราวจากภาพยนตร์
การแหกคุกครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ประหนึ่งว่า เป็นเรื่องราวจากภาพยนตร์ เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นที่เกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจาก ซาน ฟรานซิสโก เพียงประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น เกาะนี้มีชื่อว่า อัลคาทราช (Alcatraz) ซึ่งในอดีต เป็นที่คุมขังนักโทษเด็ดขาด
เมื่อปี ค.ศ. 1962 นักโทษเด็ดขาดจำนวนสี่คน ได้วางแผนแหกคุก ซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุดแห่งนี้ และที่ผ่านมาไม่เคยมีนักโทษรายใด สามารถแหกคุกได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้ นักโทษ 3 คนทำได้สำเร็จ อย่างน่าอัศจรรย์
เริ่มจากพวกเขามองเห็นว่า ฝาครอบช่องระบายอากาศบนหลังคาคุก มีจุดอ่อน คือไม่ได้โบกคอนกรีตยึดไว้อย่างแข็งแรงมากนัก ดังนั้น ถ้าหาวิธีออกจากห้องขังได้ แล้วปีนขึ้นไปตามช่องระบายอากาศ ก็จะสามารถกะเทาะฝาครอบออกและหลบหนีทางหลังคาคุก ได้
นั่นคือจะต้องหาวิธี ขุดผนังคุก เพื่อคลานออกไป และปีนขึ้นไปตามท่อระบายอากาศ แต่ปัญหาก็คือ จะทำได้อย่างไร ในเมื่อผู้คุมออกเดินตรวจห้องขังตลอดเวลา นอกจากนั้น ในห้องขังก็ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่จะใช้ในการขุดได้เลย
นักโทษทั้งสี่ เริ่มสะสมอุปกรณ์เท่าที่พอจะหาได้ เช่น เมื่อได้รับคำสั่งให้ไปทำงานที่ห้องเครื่อง ก็แอบนำ ช้อนโลหะจากโรงอาหาร ไปกลึงให้แหลมคม จากนั้น ทุกคืน ก็แอบขุดฝาผนัง ด้านในห้องขัง ด้วยช้อน และเหรียญ รวมทั้งอุปกรณ์โลหะขนาดเล็กอื่นๆ เท่าที่พอจะหาได้
ขุดอย่างไร จึงจะรอดพ้นจากสายตาของผู้คุม จะเก็บเสียงขุดอย่างไร ไม่ให้ผู้คุมได้ยิน และจะต้องใช้เวลากี่เดือน จึงจะได้ช่องที่มีขนาดกว้าง พอที่จะลอดออกไปได้ ฯลฯ นี่คือ ความท้าทายอย่างยิ่ง แต่นักโทษสี่คน ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ
ด้วยแผนการอันแยบยล พวกเขาสร้าง ฉากกั้นฝาผนัง ด้านในของห้องขัง เพื่อหลอกผู้คุมให้เห็นเสมือนเป็นฝาผนังจริง แล้วก็แอบขุดอยู่ด้านหลังฝาลวงตานั้น โดยขุดในเวลาใกล้ค่ำระหว่างชั่วโมงที่นักโทษได้รับอนุญาตให้เล่นดนตรีในห้องขัง เพื่อให้เสียงดนตรีกลบเสียงขุดฝาผนัง และขุดไปจนถึงสามทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาดับไฟเข้านอน
เรื่องเหลือเชื่อต่อมา ก็คือ พวกเขาได้ลักลอบนำ สบู่ และกระดาษชำระ มาปั้นเป็น ศีรษะและใบหน้าของตนเอง ขนาดเท่าจริง พร้อมทั้งทาสีเสมือนจริง และแอบเก็บ เศษผม จากร้านตัดผมนักโทษ มาติดบนศีรษะหุ่นปั้น ให้เห็นทรงผมคล้ายจริง เพื่อใช้ในยามค่ำคืน ด้วยการนำผ้าห่มมาห่มจากส่วนคอลงไป หลอกตาผู้คุม ที่ออกตรวจภายใต้แสงสลัว ว่านักโทษกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
ในที่สุด แปดเดือนผ่านไป นักโทษ 3 คนก็ขุดได้สำเร็จ คืนวันที่ 11 มิถุนายน 1962 พวกเขาได้นำศีรษะปลอมวางไว้บนเตียงนอน ห่มผ้าหลอกไว้ จากนั้น นักโทษ 3 คน ก็ก้าวออกไปยืนบนหลังคาคุกได้สมประสงค์………
พวกเขาหลบหนี ออกจากเกาะ เพื่อข้ามไป ซาน ฟรานซิสโก ด้วยการเตรียมเสื้อกันฝน กว่า 50 ตัว ที่ขอมาจากเพื่อนนักโทษ และนำมาต่อเป็นแพ โดยใช้วิธีเป่าลมด้วยหีบเพลงอันเล็กๆ ที่ดึงปุ่มเสียงทิ้งไป แล้วก็หลบหนีทางทะเล เพื่อไปสู่อิสรภาพเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 2 กิโลเมตร เท่านั้น.........
ผมไปชมคุกแห่งนี้ หลายปีมาแล้ว ใครที่ผ่านไปทาง ซาน ฟรานซิสโก ควรหาเวลา ข้ามไปดู เพราะวันนี้ ไม่มีนักโทษแล้ว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก
ที่คุยเรื่อง คุกฝรั่ง มาจนถึงตอนนี้ ก็เพราะผมอยากจะคุยเรื่อง คุกไทย ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุกที่นครศรีธรรมราช (....“ว่าแล้วเชียว!”....) ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อเช่นกัน ที่ตำรวจสามารถยึดโทรศัพท์มือถือ เครื่องชาร์จไฟ ยาบ้า ของมีคม ฯลฯ ได้จำนวนมากมายขนาดนั้น เหตุเพราะผู้คุม (หลายคนทีเดียว) ได้กลายเป็นทาสเงินของนักโทษไปเรียบร้อย
ความจริงก่อนจะมีข่าว คนในคุก เราก็ได้เห็นข่าวของ คนนอกคุก มาแล้ว จากกรณีสารซูโดอีเฟดรีน ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นคนมีความรู้ มีอาชีพที่สังคมให้ความเคารพ แต่พวกเขากลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพย์ติดที่เลวร้าย จนใครๆ ก็เห็นว่าอย่างนี้ “ต้องจับเข้าคุกให้หมด....”
แต่พออธิบดีกรมราชทัณฑ์แถลงว่า หกเดือนที่ผ่านมา สามารถจับกุมการลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำได้กว่า 9,900 เครื่อง ยาบ้ากว่า 58,000 เม็ด ยาไอซ์ 6,700 กรัม กัญชาอีกกว่า 2,800 กรัม ฯลฯ ผมก็เริ่มคิดว่า ถ้าจับเข้าคุกไป ก็คงจะไม่แก้ปัญหาอะไรหรอก เพราะคุกไทยมัน “เน่า” เสียขนาดนี้ แล้ว
กลับไปที่คุกอัลคาทราช อีกครั้งดีกว่า เพราะผมจะบอกคุณว่า นักโทษสามคน หลังจากได้ใช้แพที่ทำจากเสื้อกันฝนหลบหนีไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดพบพวกเขาอีกเลย ทางการสรุปว่า พวกเขาน่าจะจมน้ำทะเลที่คลื่นแรง และเย็นเฉียบ จนเสียชีวิตทั้งหมด เรียกว่าทำได้สำเร็จทุกขั้นตอน แต่มาตายตอนจบ........
สู้นักโทษไทยวันนี้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดหลบหนีไปไหน ให้เมื่อย เพราะอยู่ในคุก พวกเขาก็ยังค้ายาบ้าได้เป็นปกติ แถมมีผู้คุมหลายคน คอยเป็นทาสรับใช้อีกด้วย
ผมคิดว่าเรื่องราวของ คุกไทย หรือซูโดอีเฟดรีน ที่เป็นข่าวในขณะนี้ คงเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่ปรากฏให้เห็น เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ลึกลงไป คงมีอีกมากมายหลายเรื่อง ที่เกาะกันเป็นก้อนมหึมา..... ซึ่งวันหนึ่ง เรือ “ไทยทานิค” ของเรา อาจจะชนภูเขาน้ำแข็ง ก้อนที่เกิดจากการโกงบ้านโกงเมืองนี้ จนล่มสลาย ตายกันทั้งลำก็เป็นได้
ลุกขึ้นมาต่อสู้ กับความชั่วช้าเหล่านี้.....กันเถอะครับ







