จับตา ‘บอนด์ญี่ปุ่น’ ความเสี่ยงที่โลกเฝ้าระวัง

การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น (JGBs) อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ญี่ปุ่นกลายเป็น “ผู้ส่งออกความผันผวนของตลาด” รายใหม่ของโลก
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำลังลดการเข้าซื้อพันธบัตรของตนเอง ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาล โดยในปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนถึงประมาณ 65% ของการทำธุรกรรมรายเดือนในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 12% ในปี 2552
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความตึงเครียดของนโยบายภายในประเทศ ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงถึงประมาณ 230% ของ GDP แต่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงเกินเป้าหมาย 2% การที่ BOJ จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเสถียรภาพราคา ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อ “ความยั่งยืนของหนี้” เนื่องจากหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 1% จะทำให้ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายสูงขึ้นถึง 2% ของ GDP สถานการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการขาดความสอดคล้องทางนโยบาย เนื่องจากรัฐบาลยังคงใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
ผลกระทบต่อตลาดโลกนั้นชัดเจนที่สุดผ่านกลยุทธ์ “Carry Trade” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนกู้เงินเยนในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในต่างประเทศ เมื่อมีสัญญาณว่าดอกเบี้ยในญี่ปุ่นกำลังจะขยับขึ้น นักลงทุนจึงเร่งยกเลิก Carry Trade ด้วยการเทขายสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ในต่างประเทศเพื่อนำเงินเยนกลับมาคืน การกระทำนี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นทั่วโลก สำหรับตลาดไทยและภูมิภาค การยกเลิก Carry Trade นี้อาจสร้างแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์ทั่วโลก ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดทุนและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเงินทุนมีการเคลื่อนย้ายกลับประเทศต้นทาง
นักวิเคราะห์เตือนว่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับที่สหราชอาณาจักรเคยประสบในช่วงเวลาสั้นๆ ของ “ลิซ ทรัสส์” ความผันผวนที่สูงขึ้นในตลาด JGB สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่านักลงทุนในประเทศและ BOJ จะยังคงเป็นผู้ถือครองพันธบัตรส่วนใหญ่ แต่ความกังวลของตลาดต่อเสถียรภาพทางการคลังได้ทำให้สถานะของพันธบัตรญี่ปุ่นที่เคยเป็น Safe Haven นั้น “เสียความมั่นใจลงไปได้บ้าง”
ดังนั้น ตราบใดที่ BOJ ยังคงตัดสินใจช้าในการปรับนโยบายเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดโลกก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การจัดการหนี้สาธารณะที่สูงลิ่วควบคู่กับการรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะมิฉะนั้นแล้ว ญี่ปุ่นจะกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกความเสี่ยงทางการเงินที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้







