ภัยพิบัติยุคใหม่ไทยยังไม่พร้อมรับมือ

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้สะท้อนชัดว่า “ไทย” กำลังเข้าสู่ภาวะ “ภัยพิบัติยุคใหม่” ที่หนักหน่วงเข้มข้นมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นผลโดยตรงจาก ปรากฏการณ์โลกร้อน ที่ไม่อาจย้อนกลับได้
กรณีน้ำท่วมภาคใต้โดยเฉพาะหาดใหญ่เป็นเพียงสัญญาณเตือนล่าสุดว่า โครงสร้างพื้นฐานและการรับมือของไทยไม่สอดรับกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่
เรากำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ “ฝนตกแรง” แต่เป็นภัยพิบัติจาก “เมฆระเบิด” หรือภาวะที่ฝนตกเข้มข้นสูง หรือแม้แต่ภาวะที่เรียกกันว่า “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า “แม่น้ำบนฟ้า” ดังนั้นหากการรับมือยังคงเป็นเช่นในปัจจุบัน อีกทั้งยังขาดการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศไทยคงต้องเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ ที่สำคัญผู้คนจำนวนมากอาจต้องเสียชีวิตจากความไม่พร้อมเหล่านี้
ภัยพิบัติยุคใหม่มาพร้อมกับปริมาณน้ำมหาศาล ทำลายขีดจำกัดเดิม กรณีน้ำท่วมหาดใหญ่เชื่อกันว่าเป็นผลพวงจาก ปรากฏการณ์ “แม่น้ำบนฟ้า” ที่เป็นเหมือนทางด่วนขนส่งไอน้ำ พัดพาความชื้นจำนวนมากจากมหาสมุทรเข้าสู่แผ่นดิน ซึ่งปกติแล้วแม่น้ำบนฟ้านี้มีปริมาณน้ำเทียบเท่ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอเมริกาเหนือ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดกับหาดใหญ่น่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น …เหตุการณ์ลักษณะนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ และยังอาจรุนแรงหนักขึ้น คำถามคือ เรามีความพร้อมในการรับมือแค่ไหน?
จุดอ่อนสำคัญสุดในการรับมือของไทย คือ ความล้าหลังเชิงโครงสร้างและนโยบาย “ผังน้ำ” ที่จัดทำโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่ง ชาติ (สทนช.) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการน้ำ ยังไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายที่เข้มงวดเทียบเท่า “ผังเมือง” …ในการปฏิบัติ การอนุญาตก่อสร้างและการพัฒนาเมืองยังคงละเลยข้อกำหนดจากผังน้ำ ทำให้การพัฒนาที่ดินในลักษณะที่ลดทอนพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติและสร้างสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำตามที่เคยกำหนดไว้ยังคงมีให้เห็นอยู่
นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ก็ล้าสมัย ไม่สามารถรับมือกับปริมาณน้ำจากฝนตกเข้มข้นได้ ท่อลอดถนนและทางรถไฟหลายจุดกลายเป็น “คอขวด” ที่ทำให้น้ำระบายไม่ทัน เกิดการท่วมขังรุนแรง การรับมือกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ เราต้องเปลี่ยนผ่านจากการทำงานเชิงรับมาสู่เชิงรุก จำเป็นต้องลงทุนตั้งแต่วันนี้ ยกระดับผังน้ำสู่กฎหมายที่เข้มงวดเทียบเท่าผังเมือง ถ้าเรายังเพิกเฉยไม่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ สิ่งที่จะสูญเสียในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นที่มีต่อ “ผู้นำ” ประเทศ!







