ขึ้นภาษี VATเลี่ยงได้อีกนานแค่ไหน?

ขึ้นภาษี VATเลี่ยงได้อีกนานแค่ไหน?

ประเด็นเรื่องการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมไทยอีกครั้ง หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า ในแผนการคลังระยะปานกลาง ปี 2569-2573 ได้วางสมมติฐานว่า หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ตามศักยภาพในปี 2571

รัฐบาลอาจปรับขึ้น VAT เป็น 8.5% และจะขยับขึ้นเป็น 10% ใน ปี 2573 แต่หากเศรษฐกิจยังไม่กลับมาฟื้นตัวได้ตามศักยภาพ รัฐบาลมีแผนสำรองอื่น ชดเชย เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่นหรือการลดรายจ่ายภาครัฐ เพื่อให้สอดรับกับแผนความยั่งยืนทางการคลัง
    

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมทันทีว่า จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจตัวเลขที่ออกมาก็เป็นการนำเสนอตามแผนการคลังระยะยาว ซึ่งต้องอิงตามกฎหมายไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริงหากตนยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดทิศทางบริหารประเทศอยู่ VAT จะยังไม่ได้ปรับขึ้นแน่นอน ต้องอยู่ที่เดิมก่อน 

การปรับขึ้น VAT ถูกมองว่าเป็นมาตรการเพิ่มรายได้ที่ทำได้ง่ายและรั่วไหลน้อยที่สุดโดยแผนที่กำหนดไว้คือ  การทยอยปรับขึ้นจาก 7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และสูงสุดที่ 10% ในปี 2573 การปรับขึ้น VAT เพียง 1% จะสามารถสร้างรายได้ให้กับภาครัฐได้ทันทีถึง “แสนล้านบาท” ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยให้รัฐบาลสามารถลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ

และนำกลับไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การมีแผนเพิ่มรายได้ที่ชัดเจนนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นต่อฐานะทางการคลังของประเทศในสายตาของหน่วยงานจัดอันดับเครดิตโลก

เราเห็นด้วยกับการขึ้น VAT เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง รองรับความเสี่ยงใหม่ที่อาจใหญ่กว่าเดิมในอนาคต เพียงแต่ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการปรับ VAT คือ ผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางสังคมเนื่องจาก VAT เป็นภาษีที่ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับรายได้ ดังนั้น การขึ้น VAT จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน หรือมาตรการชดเชย (offset) เพื่อลดทอนผลกระทบต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพราะแน่นอนว่ารัฐบาลกำลังเพิ่มต้นทุนการครองชีพของคนกลุ่มเหล่านี้ 
    

อย่างไรก็ตาม เรามองว่าในอนาคตการปรับขึ้น VAT คงเป็นงานที่รัฐบาลเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะภายใต้แรงกดดันจากการขาดดุลและหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าแผนการปรับขึ้น VAT จะเป็นการแสดงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนทางการคลัง แต่การตัดสินใจบังคับใช้จริงต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจและต้องมีการวางแผนมาตรการช่วยเหลือชดเชยอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้การขึ้นภาษีซึ่งเป็น “ยาแรง” กลายเป็นการซ้ำเติมประชาชน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็น VAT คงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาโครงสร้างรายได้และรายจ่ายที่บิดเบี้ยวของประเทศ ซึ่งไทยจำเป็นต้องแก้ไขไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย หรือทำให้ GDP เติบโตอย่างรวดเร็ว วิธีนี้น่าจะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังได้ยั่งยืนกว่าการปรับขึ้นเพียงแค่ VAT