'Longevity Hub' ยั่งยืนทางรอดเศรษฐกิจไทย

'Longevity Hub' ยั่งยืนทางรอดเศรษฐกิจไทย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่ต้องเร่ง “จุดประกาย” ทางเศรษฐกิจ เพื่อหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางที่ติดอยู่มานานกว่า 40 ปี และรับมือกับปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าหรือการจัดระเบียบซัพพลายเชนใหม่ ในบริบทเช่นนี้ การยกระดับเศรษฐกิจไทยจึงจำเป็นต้องพึ่งพา “เครื่องยนต์ใหม่” ในการขับเคลื่อนประเทศ และหนึ่งในความหวังก็คือ “เศรษฐกิจสุขภาพ” (Health Economy) ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ทางรอดประเทศไทย” แต่ต้องมีการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและลงมือทำอย่างจริงจัง
    ความฝันในการเป็นศูนย์กลางความยั่งยืนด้านสุขภาพระดับโลก หรือ “Longevity Hub” คือทิศทางที่รัฐบาลและภาคเอกชนกำลังให้ความสนใจ โดยตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า เงินจะพัดเข้ามาที่ประเทศไทย เนื่องจากเรามีความพร้อมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการแพทย์ การให้การรักษาที่ได้มาตรฐานสากล ในราคาที่เข้าถึงได้ รวมทั้งการมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม  การให้บริการที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็น ศูนย์กลาง Wellness Economy ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันกลายเป็นความต้องการหลักของตลาดโลก

    ทว่าความหวังประเทศไทยที่จะเป็น Longevity Hub จะเป็นจริงได้หรือไม่ ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันที่คนไทยป่วยด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเบาหวาน 6.1 ล้านคน, ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 17.5 ล้านคน, ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 27.4 ล้านคน, ภาวะไขมันในเลือดสูงและกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มอายุที่น้อยลงและวัยทำงาน
    นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน และมีคนป่วยเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานถึง 1.6 ล้านคน และคนป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่รู้ตัวสูง 8.4 ล้านคนทำให้กองทุนประกันสุขภาพและประกันสังคมมีความเสี่ยงที่จะ “ระเบิด” เนื่องจากระบบบริหารสาธารณสุขยังคงเน้นไปที่ “การรักษาคนป่วย” เป็นหลัก

    ดังนั้น กุญแจสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางความยั่งยืนด้านสุขภาพที่แท้จริง จึงอยู่ที่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเน้นการรักษา ไปสู่การเน้น “การป้องกัน” ระบบสุขภาพจะต้องเปลี่ยนจากการเป็นเพียง "30 บาทรักษาทุกโรค” ไปสู่การสร้างความเข้าใจในเรื่องการมีสุขภาพดีและ “ป้องกันทุกโรค” การทำให้ “คนไทยไม่ป่วย” ต้องเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน ไม่ใช่เพียงแค่การให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่เจ็บป่วยแล้ว แต่ต้องมุ่งเน้นการป้องกันคนไม่ให้ป่วย และต้องมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนตั้งแต่เกิดไปจนถึงระยะท้ายของการใช้ชีวิต
    การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่การเป็น Longevity Hub ที่ยั่งยืนและมั่นคงได้นั้น จึงมิใช่แค่เรื่องของการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่เป็นการสร้างรากฐานด้านสุขภาพที่แข็งแกร่งให้กับคนในชาติเสียก่อน ทุกภาคส่วน จะต้องมุ่งเน้นการลงทุนในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้ความหวังและความฝันที่จะเห็นเศรษฐกิจสุขภาพเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนประเทศเป็น “ทางรอดประเทศไทย” ได้จริง