‘สแกมเมอร์’ เหลือบร้ายกัดกินเศรษฐกิจประเทศ

‘สแกมเมอร์’ เหลือบร้ายกัดกินเศรษฐกิจประเทศ

ปัญหา “สแกมเมอร์” หรือ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ไม่ได้เป็นเพียงอาชญากรรมออนไลน์ทั่วไป แต่กลายเป็นภัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเงิน และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ

    การที่นายกรัฐมนตรีประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์เป็น “วาระแห่งชาติ” ถือเป็นสัญญาณสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการลงมืออย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงการประกาศเชิงสัญลักษณ์เพื่อสร้างภาพทางการเมือง
    ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ขยายตัวรวดเร็ว แทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ แม่ค้าออนไลน์ หรือแม้แต่คนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี สแกมเมอร์ปรับวิธีหลอกลวงอย่างแนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แบงก์ หรือแม้แต่บุคคลใกล้ชิด ผลที่ตามมาคือความสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทต่อปี และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ “ความกลัว” ที่แทรกซึมในสังคมดิจิทัลจนทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อแม้แต่ข้อความจากหน่วยงานจริง

    รัฐบาลชุดนี้จึงมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำมากกว่าการจับกุมรายกรณี นั่นคือ “การปฏิรูประบบ” ให้ปิดช่องโหว่ของอาชญากรรมเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน การทำงานต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับมาเป็นเชิงรุก ตั้งแต่การเข้มงวดระบบยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) ไปจนถึงการติดตามเส้นทางการเงินต้องแม่นยำแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญต้องบังคับใช้กฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องโดยไม่เลือกปฏิบัติ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลเข้าไปเอื้อประโยชน์ให้แก๊งเหล่านี้ ต้องลงโทษอย่างเฉียบขาดโดยไม่เปิดช่องให้ “เคลียร์” หรือปัดความรับผิดชอบกันเอง

    เพราะเมื่ออำนาจรัฐถูกแทรกซึม หรือใช้เพื่อปกป้องคนผิด ความศรัทธาของประชาชนจะพังทลายลงในพริบตา การปล่อยให้เจ้าหน้าที่บางกลุ่มหาผลประโยชน์จากอาชญากรรมไซเบอร์ ไม่ต่างจากการปล่อยให้ปลวก เหลือบ กัดกินเสาค้ำของบ้าน ทั้งระบบกฎหมาย ความมั่นคง และเศรษฐกิจจะค่อยๆ ทรุดลงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศนี้ ต้องร่วมกันสร้างระบบป้องกันเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพจริง ไม่ใช่แค่ส่งข้อความเตือนหลังความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว การยืนยันตัวตนก่อนเปิดบัญชีต้องเข้มงวด หรือลงทะเบียนซิมต้องทำอย่างจริงจัง จัดตั้งฐานข้อมูลผู้ต้องสงสัยกลาง และดึงเทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการโอนเงินผิดปกติแบบอัตโนมัติ นี่คือแนวทางที่รัฐบาลต้องผลักดันอย่างจริงจังเพื่อให้ “วาระแห่งชาติ” เป็นมากกว่าคำประกาศ