เจรจาภาษีทรัมป์: แบบไหนไทยจึงจะได้ประโยชน์?

เจรจาภาษีทรัมป์: แบบไหนไทยจึงจะได้ประโยชน์?

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศกรอบการเจรจาการค้าต่างตอบแทน กรอบนี้เป็นผลจากการเจรจาระหว่างสองประเทศ

หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะเก็บจากประเทศต่างๆ (ของไทยที่ 36%) เมื่อวันที่ 2 เมษายน จนสหรัฐฯ ตกลงลดภาษีให้ไทยเป็น 19% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในวันที่ 1 สิงหาคม

กรอบนี้กำหนดความคาดหวังของการเจรจาในประเด็นต่างๆ แต่ยังไม่ใช่ “ข้อตกลงจริง” ที่ยังอยู่ระหว่างเจรจา

หากไทยกับสหรัฐฯ เจรจาข้อตกลงนี้แล้วเสร็จ รัฐบาลไทยต้องนำข้อตกลงดังกล่าวเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ จึงจะมีผลผูกพันทางกฎหมาย 

รัฐบาลตั้งเป้าเจรจาข้อตกลงให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ผมจึงอยากชวนคิดว่าไทยควรจะได้ข้อตกลงแบบไหน และเราควรเตรียมการอย่างไรเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวได้และได้ประโยชน์สูงสุดจากข้อตกลงที่จะกำลังจะเกิดขึ้นนี้

ผมขอแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย การเปิดตลาด กฎถิ่นกำเนิด และการปฏิรูปกฎเกณฑ์ที่สำคัญ

ส่วนแรก การเปิดตลาด กรอบกำหนดว่าไทยจะลดอัตราภาษีนำเข้าที่ไทยเก็บจากสหรัฐฯ ให้เหลือ 0% กว่า 99% ของรายการสินค้าทั้งหมด รวมถึงจะพยายามขจัดอุปสรรคทางการค้าที่สหรัฐฯ เคยประสบเวลานำสินค้าเข้ามาขายในไทย

ในบรรดารายการสินค้าทั้งหมด กว่า 40% ไทยคิดอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% กับสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งโดยมากเป็นสินค้าอุตสาหกรรม อีกส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่แม้ไทยลดภาษีให้ แต่ไม่น่าจะส่งผลกับผู้ประกอบไทยมากนัก

เพราะไม่ใช่สินค้าบริโภคหลักของคนไทย เช่น ชีส หรือเป็นสินค้าที่ไทยขาดแคลนและต้องการนำเข้า เช่น ข้าวโพด

ยิ่งภาษีลด ผู้ประกอบการไทยที่ใช้สินค้าเหล่านี้จะได้ประโยชน์ และราคาน่าจะลดลง ส่งผลดีกับผู้บริโภค

ตัวสำคัญอยู่ที่สินค้าที่ไทยเคยคิดอัตราภาษีนำเข้าแพง มีกฎระเบียบที่ถูกมองว่าเป็นการตั้งกำแพงการค้า และมีศักยภาพที่จะเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยได้ สินค้าเกษตรบางรายการถูกอ้างถึงว่าอาจเข้าข่ายสินค้าประเภทนี้ 

โจทย์สำคัญของรัฐบาลสำหรับสินค้าอ่อนไหวเหล่านี้ คือ การหาจุดสมดุลว่าจะทยอยเปิดตลาดอย่างไร (เช่น ใช้เวลาหลายปีค่อยๆ ทยอยลดอัตราภาษีจนเป็นศูนย์ แทนที่จะลดเป็นศูนย์ทันที) ให้ผู้ประกอบการและผู้ผลิตไทยมีเวลาปรับตัว

ขณะเดียวกัน ขั้นตอนการเปิดตลาดต้องเป็นที่ยอมรับของสหรัฐฯ และในที่สุดต้องเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคไทยเข้าถึงตัวเลือกสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบ อาจมีกลไกช่วยปรับตัว เช่น การพัฒนากองทุน FTA ซึ่งรูปแบบปัจจุบันยังทำงานได้ไม่เต็มที่นัก เป็นต้น 

ส่วนที่สองคือกฎถิ่นเนิด คาดว่าอีกไม่นาน สหรัฐฯ จะบังคับใช้กฎถิ่นกำเนิดกับประเทศต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าสหรัฐฯ คิดภาษีได้ตรงตามแหล่งกำเนิดของสินค้านั้นๆ อย่างแท้จริง

เช่น สินค้าต้องมีมูลค่าการผลิตในไทยสูงกว่าครึ่ง จึงจะนับว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในไทย และได้รับอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% เป็นต้น หากคำนวณแล้วเป็นถิ่นกำเนิดจากประเทศอื่น ก็ต้องคิดอัตราภาษีตามประเทศนั้นๆ 

ที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ ซึ่งมีปริมาณสูงมาก ไม่เคยต้องผ่านการตรวจสอบถิ่นกำเนิดมาก่อน

ความท้าทายของประเด็นนี้จึงอยู่ที่ว่า

1.ไทยจะเจรจากฎถิ่นกำเนิดออกมาในรูปแบบใด

2.ผู้ประกอบการไทยจะปรับกระบวนการผลิตได้ทันตามการเปลี่ยนแปลงของกฎดังกล่าวหรือไม่

3.ทำอย่างไรให้กระบวนการตรวจสอบถิ่นกำเนิดของไทยง่าย สะดวก รวดเร็ว กับผู้ส่งออกไทยมากที่สุด 

ดังนั้น นอกจากการเจรจาเพื่อให้ได้กฎถิ่นกำเนิดที่ผู้ส่งออกไทยรับได้แล้ว รัฐบาลควรมีมาตรการเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ โดยเฉพาะจากภายในประเทศ

ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิด เพื่อรองรับความต้องการตรวจสอบถิ่นกำเนิดที่จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อสหรัฐฯ เคาะกฎออกมาในอนาคต

ส่วนสุดท้าย คือ การปฏิรูปกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างกว้างขวางในระยะยาว จากกรอบที่เผยแพร่ หลายข้อเป็นสิ่งที่ไทย “ควร” ทำอยู่แล้ว โดยมีการเจรจาภาษีทรัมป์มาเป็นตัวเร่ง

เช่น การยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองแรงงานและสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีอีกหลายข้อที่สังคมยังถกเถียงว่าไทยจะได้หรือเสีย หรือหน้าตาของข้อตกลงยังไม่ชัดเจนนัก เช่น การตกลงว่าไทยจะไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัลกับสหรัฐฯ การเปิดให้มีการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดนอย่างเสรี ตลอดจนการลดข้อจำกัดของต่างชาติที่ต้องการลงทุนในภาคโทรคมนาคมไทย เป็นต้น 

ผมเข้าใจว่าที่ผ่านมาทีมเจรจาของไทยได้หารืออย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานราชการและตัวแทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากประเด็นเหล่านี้จะส่งผลต่อประเทศได้มาก

รัฐบาลควรทยอยสื่อสารสาระของการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งประชาชนทั่วไป เพื่อเพิ่มความมีส่วนร่วมและสร้างความเชื่อมั่น โดยไม่ต้องรอให้การเจรจาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก่อน

โดยเฉพาะท่ามกลางกระแสสังคมที่เรียกร้องข้อมูลจากภาครัฐที่ชัดเจนและรวดเร็ว

การเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายที่สำคัญ โจทย์เหล่านี้จะกำหนดว่าไทยจะได้หรือเสียประโยชน์มากน้อยเพียงใด

ในตอนหน้า ผมจะขอชวนคิดเกี่ยวกับการพัฒนากองทุน FTA และกลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัวได้กับข้อตกลงการค้านี้ครับ