สัญญาณเตือนจาก ‘IMF’ ถึงเวลาไทยต้องเร่ง ‘ปฏิรูปเศรษฐกิจ’

IMF เตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจโตช้า” โดยคาดการณ์ว่า GDP ปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.6% ซึ่งจะทำให้อันดับเศรษฐกิจไทยร่วงจากที่ 2 ไปอยู่ที่ 5 ของอาเซียน สาเหตุหลักมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน เช่น การลงทุนภาคเอกชนลดลง หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐจากการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ IMF เรียกร้องให้ไทยเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
KEY
POINTS
- IMF เตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจโตช้า” โดยคาดการณ์ว่า GDP ปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.6% ซึ่งจะทำให้อันดับเศรษฐกิจไทยร่วงจากที่ 2 ไปอยู่ที่ 5 ของอาเซียน
- สาเหตุหลักมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน เช่น การลงทุนภาคเอกชนลดลง หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐจากการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ
- IMF เรียกร้องให้ไทยเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยเน้นการรักษาวินัยทางการคลัง การยกระดับผลิตภาพแรงงาน และการสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานการประชุมประจำปี โดยเตือนว่าภาวะเศรษฐกิจโลกเผชิญในวันนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีความผันผวนที่มากขึ้นส่วนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปี 2569 และในอีกหลายปีข้างหน้ายังมีอยู่หลายข้อไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวธุรกิจที่เจอกับความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ
นอกจากนั้นโลกยังเจอความเสี่ยงจากฟองสบู่จากการเร่งรัดการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่ง IMF ชี้ว่ามูลค่าหุ้น และสินทรัพย์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ “สูงเกินจริง” IMFเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกฟื้นความเชื่อมั่นผ่านการรักษาวินัยทางการคลัง และปกป้องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
ในส่วนของประเทศไทย IMF ระบุในรายงานว่ายังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ไว้ที่ 2% ส่วนในปี 2569 มองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้แค่ 1.6% เท่านั้น
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีตทำให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นประเทศที่“เศรษฐกิจโตช้า”และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่จริงจัง เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญกับภาวะแบบนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี
จากการคาดการณ์ของ IMF แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2573 (ค.ศ. 2030) จะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.4% ต่อปี ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8%เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาต่อเนื่อง และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ยังขยายตัวได้น้อย ในที่สุดขนาดเศรษฐกิจไทยจะตกลงมาอยู่ที่อันดับ 5 ของอาเซียน จากปัจจุบันอยู่อับดับ 2 ของภูมิภาค ขนาดของ GDP ของไทยจะอยู่ที่ 654,084 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 21 ล้านล้านบาท ตามหลังอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่ขนาด GDP จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจากการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ในระดับที่สูงกว่าไทย
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ลดลงเรื่อยๆ สะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหมือ “คนป่วย”ที่เผชิญโรคสะสม มาจากหลายปัจจัยที่สั่งสม ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของการลงทุนภาคเอกชน การทุจริตคอร์รัปชัน การมีหนี้สูงทั้งฝั่งครัวเรือน และรัฐบาล ความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 เมื่อระดับหนี้สาธารณใกล้แตะเพดานที่เคยขยายไว้ที่ 70% เมื่อรวมกันกับปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย จากการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวได้มากกว่าที่เป็นอยู่
รายงานของ IMF ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่คำเตือนธรรมดา แต่คือ“สัญญาณอันตราย”ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเดินเข้าใกล้จุดที่อาจกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง หล่นจาก “ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน”ไปเป็น“ผู้ตาม”ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ดึงดูดเงินลงทุน และพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่อย่างรวดเร็ว
ไทยกลับติดอยู่ใน“กับดักเดิม”หนี้สูง การลงทุนเอกชนต่ำ และนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลงตามแรงการเมืองมากกว่ากลยุทธ์ระยะยาว
IMF จึงส่งสารชัดเจนว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังทั้งในด้านนโยบายการคลังที่มีวินัย,การยกระดับผลิตภาพแรงงาน,และการสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
หากไม่เริ่มวันนี้…ไทยอาจกลายเป็น “ประเทศเศรษฐกิจโตช้า” อย่างถาวรและในอีกสิบปีข้างหน้า เราอาจต้องมองดูประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปทีละก้าวในขณะที่เรา “ย่ำอยู่กับที่” ด้วยโครงสร้างเก่าและนโยบายที่ไม่ทันโลก







