‘ไทย’ ต้องปรับเมื่อเกมลงทุนโลกเปลี่ยน

‘ไทย’ ต้องปรับเมื่อเกมลงทุนโลกเปลี่ยน

โลกกำลังเข้าสู่ยุค “แบ่งขั้ว” ที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจและการเมืองทวีความรุนแรงขึ้น เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไม่ได้ไหลเข้าประเทศที่ต้นทุนต่ำหรือเศรษฐกิจเติบโตดีเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ “ยุทธศาสตร์ทางการเมือง” ของแต่ละประเทศด้วย

   โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกสั่นสะเทือนอีกระลอก ธุรกิจทั่วโลกเริ่มถูกบีบให้ “เลือกข้าง” มากขึ้น สำหรับไทย แม้จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากแรงกดดันรอบด้าน แต่ก็ยังมี “ช่องว่างของโอกาส” ที่สามารถใช้เป็นจุดดึงดูดการลงทุนได้ หากสามารถวางกลยุทธ์ให้ถูกทางและทันเวลา
    รายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า อุตสาหกรรมที่ไทยยังมีศักยภาพสูงในการดึงดูด FDI คือกลุ่มที่สอดรับกับเทรนด์โลก เช่น Data Center ที่กำลังขยายตัวทั่วโลกจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และ Food for the Future ที่ต่อยอดจุดแข็งของไทยด้านเกษตรและอาหารคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมอย่างอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ก็ยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เอื้อประเทศในกลุ่ม USMCA (สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก) ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลออกจากเอเชีย

    การแย่งชิง FDI ในภูมิภาคนี้ร้อนแรงกว่าที่เคย โดยเฉพาะเวียดนามและมาเลเซียที่ขยับตัวเร็วมาก ทั้งการให้สิทธิประโยชน์ที่ชัดเจนและการอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนอย่างเป็นระบบ ขณะที่ไทยแม้มีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและแรงงานฝีมือ แต่ถ้ายังเคลื่อนช้า ก็เสี่ยงเสียเปรียบในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เริ่มขยับแล้ว โดยปรับเงื่อนไขการส่งเสริมใหม่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ทั้งการงดอุตสาหกรรมที่ล้นตลาด เช่น โซลาร์เซลล์และเหล็ก และเน้นให้อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อควบคุมมาตรฐานและสร้างความยั่งยืนมากขึ้น

    วันนี้ การพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป แนวโน้ม Friendshoring และ Nearshoring หรือการย้ายฐานผลิตไปใกล้ประเทศพันธมิตร กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ไทยจึงต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต การใช้เทคโนโลยี และพัฒนาทักษะแรงงานให้พร้อมรองรับผู้เล่นระดับโลก ผู้ประกอบการไทยเองควรเร่งสร้างพันธมิตรในรูปแบบ Cluster หรือเครือข่ายการผลิต เพื่อเชื่อมโยงกับนักลงทุนต่างชาติและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงเตรียมพร้อมในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น พลังงานสะอาด ดิจิทัล และโลจิสติกส์ ที่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ของการลงทุนระลอกต่อไป
    หัวใจของการดึงดูด FDI ไม่ได้อยู่ที่ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ความเชื่อมั่น” ต่อทิศทางและความพร้อมของประเทศ รัฐบาลไทยควรเร่งปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอนที่ล่าช้า และสร้างระบบนิเวศ ที่อำนวยความสะดวกต่อนักลงทุนจริง รวมถึงเดินหน้าการเจรจาการค้าและข้อตกลงเศรษฐกิจใหม่ ๆ เพื่อยืนยันว่าไทยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หากรัฐและเอกชนร่วมกันปรับตัวทันเวลา ไทยจะไม่เพียง “ดึงดูด” เงินลงทุนได้มากขึ้น แต่ยัง “ยกระดับ” เศรษฐกิจให้หลุดจากกับดักเติบโตต่ำ และกลับมาเป็นจุดหมายของนักลงทุนในเอเชียอีกครั้ง!