‘4 เดือน’ระทึก ‘ครม.อนุทิน’

‘4 เดือน’ระทึก ‘ครม.อนุทิน’

การเริ่มต้นทำงานของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในทุกย่างก้าว การเดินสายพบปะภาคเอกชนมากมาย

    และล่าสุด สมาคมธนาคารไทย สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามสร้างความเชื่อมั่นและรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคส่วนหลักของระบบเศรษฐกิจ แต่คำถามสำคัญ คือ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงภาพลักษณ์ทางการเมือง หรือจะลงเอยด้วยการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงในห้วงเวลาที่กระชั้นชิด
    ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเวลานี้เปราะบางยิ่งนัก การขยายตัวต่ำ การขาดดุลเรื้อรัง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ถูกท้าทาย แถมยังมีเรื่องมิจฉาชีพเบื้องหลัง ปลุกกระแส “เงินเทา” ไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงกดดันที่ ครม.อนุทิน ไม่อาจมองข้าม ขณะที่ความคาดหวังจากภาคเอกชนในทุกด้าน โดยเฉพาะการคลัง การลงทุน และการเงิน คือ การสร้างบรรยากาศเชิงบวก ขจัดอุปสรรคกฎระเบียบ ลดความไม่แน่นอนทางนโยบาย เพื่อสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่น

    แน่นอนว่าภาคเอกชน ต่างคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ถ้อยแถลงหรือสัญญาเชิงการเมือง หากรัฐบาลจะสามารถสร้างความมั่นใจให้ภาคธุรกิจและประชาชนได้มากแค่ไหน เพราะยามที่เศรษฐกิจชะลอ หากนโยบายไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนในระบบการเงินการธนาคารอย่างรุนแรง ทว่าความคาดหวังเหล่านี้ ไม่ได้มีแต่ภาคธุรกิจ ประชาชนทั่วไปต่างต้องการเห็นรัฐบาลชุดนี้เป็น “ผู้แก้ปัญหา” ไม่ใช่ “ตัวสร้างปัญหา” ประชาชนไม่ได้คาดหวังถึงการพลิกฟื้นมหาศาลในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่หวังเพียงความชัดเจน โปร่งใส และการตัดสินใจที่ไม่ทำให้ชีวิตยากลำบากยิ่งกว่าเดิม การฟังเสียงทุกภาคส่วน คือ สิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ปล่อยให้เป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองที่สร้างภาพ แต่ไร้ผลจริง

    ครม.อนุทิน จึงควร “รักษาสมดุล” ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจให้ดี ตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่ผลักภาระซ้ำไปยังประชาชนผู้แบกรับวิกฤติอยู่แล้ว ความผิดพลาดหรือความลังเลเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้น อาจสร้างผล กระทบยืดเยื้อที่กว่าจะแก้ไขได้ ต้องใช้เวลานานเกินกว่าสี่เดือนหลายเท่า ท้ายที่สุด ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่ารัฐบาลชุดนี้ได้ทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีหรือไม่ แม้เวลาเพียงสี่เดือนอาจไม่เพียงพอสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่โต แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความจริงใจ ความรับผิดชอบ และความสามารถบริหารจัดการภาวะวิกฤติ หากครม.อนุทินทำได้ตามนี้ ก็นับเป็นก้าวสำคัญที่จะไม่ทิ้งร่องรอยแห่งความผิดพลาดเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยที่บอบช้ำอยู่แล้ว