บทพิสูจน์ 'ทีมศก.อนุทิน’ คนนอกในสนามการเมือง

การเปิดโฉมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สร้างความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะมีการเลือกบุคคลที่เป็น “คนนอก” วงการการเมืองเข้ามารับตำแหน่งสำคัญ
ทั้ง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ที่ขึ้นนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซีอีโอเครือดุสิตธานี ที่ผันตัวมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขณะที่ทีมรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายก็ได้ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” นักกฎหมายผู้ทรงอิทธิพลในอดีตเข้ามาร่วมคุมทิศทาง
การดึงบุคลากรมืออาชีพจากราชการและภาคธุรกิจสะท้อนความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีที่จะสร้างภาพลักษณ์รัฐบาล “มืออาชีพ” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่โจทย์สำคัญคือ คนที่คุ้นเคยกับห้องประชุมบอร์ดภาคเอกชนหรือระบบราชการ จะสามารถรับมือกับการเมืองที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทาน ผลประโยชน์ และแรงกดดันจากฐานเสียงได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อโควตาพรรคการเมืองและนักการเมืองอาชีพยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทาง
หัวใจสำคัญอยู่ที่ “ทีมคลัง” ซึ่งต้องเผชิญเศรษฐกิจไทยที่ติดหล่มการเติบโตต่ำมานาน หนี้ครัวเรือนสูง และการลงทุนเอกชนที่ซบเซา ความคาดหวังคือจะไม่เลือกแก้ปัญหาด้วยมาตรการระยะสั้นอย่างการอัดเงินเข้าระบบหรือพักหนี้เพียงอย่างเดียว แต่กล้าที่จะปฏิรูประบบภาษี สร้างกลไกการคลังที่ยั่งยืน และวางรากฐานการลงทุนใหม่ ขณะเดียวกัน การตัดสินใจของรัฐมนตรีคลังและทีมงานยังต้องเดินบนเส้นทางที่ประนีประนอมระหว่าง “ความต้องการของนักการเมือง” และ “ความจำเป็นของประเทศ”
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่แตกต่างของรัฐบาลชุดนี้คือ มีอายุเพียง 4 เดือน และต่ออายุในฐานะรัฐบาลรักษาการได้อีกไม่นาน นั่นทำให้ข้อจำกัดด้านเวลาชัดเจนว่าแทบไม่เอื้อให้เดินหน้า “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ได้จริง สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ คือมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อประคองเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงการออกนโยบายประชานิยมที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพการคลังในระยะยาว หากหวังทิ้งผลงานที่ยั่งยืน อย่างน้อยต้องจัดทำ “พิมพ์เขียว” หรือ Roadmap เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลถาวรชุดถัดไป
ท้ายที่สุด ทีมเศรษฐกิจคนนอกของรัฐบาลอนุทินจึงเป็นทั้ง “โอกาส” และ “ข้อท้าทาย” แม้ข้อจำกัดด้านเวลาจะไม่เอื้อให้เดินหน้าโครงสร้างระยะยาว แต่การบริหารช่วงสั้นๆ นี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่ามืออาชีพจากภายนอกสามารถปรับตัวและสร้างความแตกต่างได้เพียงใด หากสามารถประคับประคองเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น และวางพิมพ์เขียวเพื่อส่งต่อ ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้สังคมมองว่าเวลาสั้นๆ นี้ไม่ได้สูญเปล่า สิ่งที่น่าติดตามต่อไปคือ คนนอกเหล่านี้จะเลือกทิ้ง “รอยเท้าแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลง” ไว้อย่างไร ท่ามกลางการเมืองที่ยังคงผันผวนและเต็มไปด้วยข้อจำกัด!







