ครม.อนุทิน ‘เวลาจำกัด’ แต่ ‘เดิมพันสูง’

ท่ามกลางวิกฤติรอบด้านที่ถาโถม ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึก ความเชื่อมั่นนักลงทุนที่แกว่งไหว และความเหนื่อยล้าของสังคมจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ประเทศไทยกำลังเผชิญบททดสอบครั้งใหญ่ เมื่อประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล
“ครม.อนุทิน” เข้ารับไม้ต่อเพื่อกุมทิศทางประเทศ ด้วยระยะเวลาที่จำกัด ก่อนที่ข้อตกลงทางการเมืองจะบังคับให้ยุบสภาและคืนอำนาจสู่ประชาชน (ถ้าข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจริง) โจทย์ของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จึงไม่ใช่เพียงการ “บริหารงานประจำ” แต่คือการแสดงความจริงใจ และความกล้าหาญทางการเมืองว่า จะเลือกทำเพื่อ “ประโยชน์สาธารณะ” มากกว่า “ผลประโยชน์เฉพาะตนหรือเฉพาะกลุ่ม”
หากไม่นับ ‘รัฐมนตรีคนนอก’ ที่ถูกดึงเข้ามาซึ่งไล่ตามรายชื่อเรียกได้ว่า ‘โดนใจ’ ตลาดไม่น้อยทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง พลังงาน กูรูระดับอาจารย์ด้านกฎหมาย หรือแม้แต่นักธุรกิจที่มีชื่อชั้น แต่จะทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีได้สมกับที่หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้หรือไม่ คงต้องรอดู ส่วนอีกฟากรายชื่อที่มาจาก “พรรคการเมือง” อันนี้น่ากังวล เพราะเต็มไปด้วยคำถาม และข้อครหา ข้อกังขาเรื่องจริยธรรม สิ่งที่เราห่วงในฐานะประชาชน หากรัฐบาลนี้ใช้เวลาที่มีจำกัด ไปกับการ “ล้างภาพ” หรือการลบล้างความผิดในอดีต ผลลัพธ์ย่อมไม่เพียงทำให้ประเทศเสียโอกาส แต่ยังจะกลายเป็นตราบาปทางการเมืองที่ยากลบเลือน
สิ่งที่สังคมคาดหวังจาก ครม.อนุทิน จึงไม่ใช่การสร้างผลงานยิ่งใหญ่อลังการในเวลาอันสั้น แต่คือความจริงจัง และเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่กระทบปากท้องประชาชนโดยตรง จัดการเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน เพื่อแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่เพื่อปกป้องประเทศจากวิกฤติที่หนักหน่วงเกินจะรอเวลา
ในอีกมิติหนึ่ง ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ “นักการเมืองหลายคน” จะได้พิสูจน์ว่า ยังสามารถกอบกู้ศรัทธาที่สังคมมีต่อการเมืองไทยได้หรือไม่ หาก ครม.อนุทิน แอคชั่นเรื่องนี้อย่างคลุมเครือ และยังเห็นการแสดงออกของรัฐมนตรีที่ชวนตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ไม่เพียงแต่ประชาชนจะหมดความศรัทธา แต่ยังเป็นการทำลายทุนทางการเมืองของพรรคและตัวบุคคลอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่รัฐบาลอนุทิน ควรตระหนักให้มาก คือ เวลาที่มีจำกัดไม่ได้เป็นข้ออ้างการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ตรงกันข้าม เวลาที่สั้นควรเป็นแรงผลักดันให้ทำงานอย่างเข้มข้น ตรงไปตรงมา เพื่ออย่างน้อยวันที่ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน จะสามารถชูผลงานและความโปร่งใส เป็นเกราะป้องกันข้อครหาได้ การเมืองไทยนับจากวันนี้ ไม่อาจทนต่อการถ่วงเวลาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอีกต่อไป ครม.อนุทิน จึงมีเพียงแค่ทางเลือกที่ว่า จะใช้เวลาที่เหลือเพื่อฟื้นวิกฤติตรงหน้า สร้างความน่าเชื่อถือให้ประเทศ หรือจะปล่อยให้ครั้งนี้ เป็นเพียงประวัติศาสตร์การเมืองที่เลวร้ายซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายประชาชนและประเทศไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...







