ลดดอกเบี้ยกระตุ้น-พยุงศก.เท่าไหร่ถึงจะพอและเหมาะสม

เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 % จาก 1.75 % มาอยู่ที่ 1.5 % ต่อปี ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นข่าวดีสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยลดภาระสำคัญด้านค่าใช้จ่ายที่เผชิญมาตลอด
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและผู้กู้ แต่ยังหวังว่าจะช่วยกระตุ้นสินเชื่อและการใช้จ่ายของครัวเรือน เพื่อเพิ่มแรงขับเคลื่อนในระบบเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอระบุว่า การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น และหากปราศจากนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวที่เพียงพอ ประสิทธิผลของมาตรการนี้ก็จะด้อยลงไปอย่างมาก
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การลดดอกเบี้ยในระดับใดจึงจะเพียงพอและเหมาะสมในการพยุงเศรษฐกิจ โดย “นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ แสดงความเห็นว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 1.25-1.5% น่าจะเพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น พร้อมกันกับการรักษาพื้นที่ทางการคลัง (policy space) ไว้รองรับสถานการณ์ในอนาคต นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่านี้อาจไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยต้องการนโยบายระยะยาวในการปรับโครงสร้างมากกว่า รวมถึงนโยบายสนับสนุนอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และการจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
แม้ภาคเอกชนจะขอบคุณ กนง. ที่พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจจริง แต่ความกังวลหลักที่ยังคงอยู่คือ ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหอการค้าไทย จึงส่งสัญญาณเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาครัฐเข้ามาดูแลค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อให้ทันการณ์กับสถานการณ์
ท่ามกลางความท้าทายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาษีสหรัฐฯ หนี้ครัวเรือนที่สูง ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง. จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนและมีการเติบโตตามเป้าหมายที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.5-2.0% ในปี 2568 นอกจากการพยุงด้วยนโยบายการเงินแล้ว ภาครัฐยังคงต้องเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแกร่งให้กับประเทศในระยะต่อไป







