ทีมเจรจาภาษีสหรัฐ อย่าให้ ‘ไทยเสียเปรียบ’ จนเกินไป

ประเด็นที่รัฐบาลไทยเตรียมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐให้เหลือ 0% หลายรายการ อาจสะท้อนถึงความพยายามเร่งรัดให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นขึ้น
ท่ามกลางบริบทโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันด้านการค้า และความไม่แน่นอนของคนอย่าง “ทรัมป์” แต่คำถามสำคัญคือ ไทย “พร้อม” แค่ไหนในการเดินหน้าเจรจาครั้งนี้ และจะสามารถ “ให้” โดยไม่ถูก “เอาเปรียบ” ได้จริงหรือไม่
แม้นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง จะย้ำว่าข้อเสนอของไทยได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้แทนการค้าสหรัฐ และมีการปรับปรุงจากเวอร์ชันเดิม เพื่อเพิ่มความสมดุลในดุลการค้า แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง และทีมเจรจาต้องระวัง อย่าให้กระบวนการทั้งหมดขับเคลื่อนอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ฝั่งสหรัฐ” มากเกินไปจนเราเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น ขณะที่ ไทยยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ข้อตกลงนี้จะให้ผลลัพธ์อย่างไรในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่าง ‘เวียดนาม’ ซึ่งกระฉับกระเฉงในเวทีการค้าโลกมากขึ้นเรื่อยๆ หากไทยเจรจาช้าหรือขาด “แต้มต่อ” ดึงดูดสหรัฐ ไทยอาจไม่ได้อยู่ในสายตา “ทรัมป์” และถูกกดเป็นเบี้ยล่างแบบจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเร่งดำเนินการ ไม่ใช่แค่การเตรียมข้อเสนอภาษี แต่ต้องรวมถึงการสื่อสารเชิงรุกกับฝ่ายการเมืองของสหรัฐในทุกกลุ่ม อย่างมืออาชีพ และมีแทคติคที่ชาญฉลาด ขณะที่ สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ต้องเร่งเสริมความเข้มแข็งของภาคเอกชนภายในประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และเกษตรกร ที่จะเป็นกลุ่มได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะถ้าเราเปิดตลาด เราต้องมีศักยภาพมากพอที่จะแข่งขันได้
ท้ายที่สุด ความหวังว่าการลดภาษีจะทำให้ดุลการค้าดีขึ้น คงเป็นเพียงภาพมายา หากไม่มีการซื้อขายจริง หรือไม่มีแผนระยะยาวในการเพิ่มการลงทุนระหว่างกัน ความสัมพันธ์ไทยสหรัฐ ควรถูกยกระดับจาก “คู่ค้า” ไปสู่ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ซึ่งต้องอาศัยมากกว่าการเจรจาทางเศรษฐกิจ แต่ต้องมีมิติทางการทูต ความมั่นคง และเทคโนโลยีควบคู่กันไป รัฐบาลไทยควรใช้โอกาสเจรจากับสหรัฐ ครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เตรียมความพร้อมทุกมิติ รุก รับ และโต้กลับทั้งด้านข้อมูล กลยุทธ์ และพันธมิตรระยะยาว และไม่ลืมสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนในประเทศ พร้อมทั้งต้องเตรียมแผนรับมือกับความไม่แน่นอนของคนอย่าง “ทรัมป์” เอาไว้ด้วย







