ไทยเจรจาภาษี 'ทรัมป์' ความหวังอยู่ที่ล็อบบี้ยิสต์ ?

สถานการณ์การเจรจาภาษีระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐได้ทวีความสำคัญและเร่งด่วนขึ้นอย่างมาก เมื่อเส้นตายสำหรับมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการส่งออกและการลงทุนของไทยกำลังจะมาถึงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่อาจพลิกผันได้โดยเฉพาะภายใต้บริบทที่เคยเห็นมาแล้วในยุค “ทรัมป์ 1.0” ที่มีการเปลี่ยนระบบการค้าจากพหุภาคีเป็นทวิภาคี กลยุทธ์การว่าจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นความหวังสำคัญของไทยในการปูทางและสนับสนุนการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์นี้
แม้ว่าการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์จะเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านความมั่นคงและการทหาร อาทิ อิสราเอล หรือ ไต้หวัน ที่ใช้เพื่อขอการสนับสนุนด้านการทหารจากสหรัฐ ทว่าสำหรับการเจรจาด้านการค้าและภาษีนั้น ประเทศไทยไม่เคยใช้กลไกนี้มาก่อน ที่ผ่านมา ไทยมักจะใช้ล็อบบี้ยิสต์ในขอบเขตที่จำกัดกว่า เช่น การโปรโมตกิจกรรมทางการตลาด การท่องเที่ยว หรือการดึงดูดการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ การใช้ล็อบบี้ยิสต์ถือเป็นแนวทางที่อาจเพิ่มโอกาสในการเจรจาและเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปูทางการเจรจาภายในหน่วยงานของสหรัฐ ที่ไทยเองไม่สามารถดำเนินการได้โดยตรง แน่นอนว่า การลงทุนในการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์นั้นมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วและคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่า เพราะอัตราค่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐ โดยทั่วไปอยู่ที่ 20,000-300,000 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป และสำหรับกรณีที่ซับซ้อน เช่น การเคลียร์ดีลตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) นั้น บริษัทไทยบางแห่งอาจต้องใช้เงินสูงถึง กว่า 200 ล้านบาท กว่าจะปิดดีลได้สำเร็จ
เพื่อให้การว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์เกิดความคุ้มค่าสูงสุด นักวิชาการและภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐบาลกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน โดยให้ล็อบบี้ยิสต์ช่วยเจรจาขอขยายเวลาการเจรจาออกไปอีก 1 ปี และระหว่างที่ขยายเวลานี้ ขอให้สหรัฐ ใช้มาตรการภาษีในระดับต่ำสุดที่ 10-15% เพื่อสร้างความชัดเจนให้นักลงทุนตัดสินใจได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต่างก็ให้การสนับสนุนการจ้างล็อบบี้ยิสต์อย่างเต็มที่ โดยมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการเตรียมรับมือนโยบายการค้าของสหรัฐ และลดผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
การตัดสินใจและผลลัพธ์ของการเจรจาภาษีครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย โดย ส.อ.ท. ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ หากสหรัฐ คงอัตราภาษีที่ 10% การส่งออกของไทยจะเติบโต 0.3-0.9% และ GDP จะอยู่ที่ 1.4-1.9% แต่หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด โดยสหรัฐ เก็บภาษี 36% การส่งออกอาจติดลบถึง 2% และ GDP อาจต่ำกว่า 1% นั่นหมายความว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐ เป็นสำคัญ ความหวังของประเทศไทยจึงอยู่ที่ “ทีมไทยแลนด์” จะเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จาก 36% ให้เหลือต่ำที่สุดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการเจรจานี้จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของไทยในการรับมือกับความท้าทายทางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในรอบปีนี้







