ปรับครม.แพทองธารโอกาสสุดท้ายฟื้นความเชื่อมั่น

ปรับครม.แพทองธารโอกาสสุดท้ายฟื้นความเชื่อมั่น

การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรกของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังเกิดขึ้นบนสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาเสถียรภาพการเมืองหลังจากพรรคภูมิใจไทยประกาศออกจากการร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการต่อรองตำแหน่งในการปรับ ครม.ด้วยการยื่นข้อเสนอดึงกระทรวงมหาดไทยกลับมาให้พรรคเพื่อไทยกำกับดูแล ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยยืนยันจุดยืนที่ขอกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยต่อ

    ในขณะที่การปรับ ครม.ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนหน้าตา ครม.แต่เป็นการเดิมพันชะตากรรมเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุดนับตั้งแต่โควิด-19 รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญกับความท้าทายสองด้าน คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ และการรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีสูงของสหรัฐที่อยู่ในระดับ 36% ซึ่งกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกไทย และหากการปรับ ครม.ไม่ตอบสนองการบริหารราชการแผ่นดินและการสร้างความเชื่อมั่นย่อมส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ

    ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกำลังเผชิญ คือ การขาดแคลนมือเศรษฐกิจที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและภาคเอกชน สิ่งที่เอกชนต้องการไม่ใช่นักการเมืองที่เก่งเรื่องการต่อรองตำแหน่ง แต่เป็นผู้ที่มีความเข้าใจเศรษฐกิจโลก รวมถึงการรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน  นอกจากนี้จะต้องรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมระยะสั้น และผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เต็มศักยภาพ
    ส่วนประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม สิงคโปร์และมาเลเซีย กำลังเตรียมมาตรการรับมือกับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์อย่างจริงจัง แต่ไทยกลับติดกับดักเสถียรภาพการเมืองภายใน รวมถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดในการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังก้าวเข้ามา ดังนั้น หากนายกรัฐมนตรีผลักดันการปรับ ครม.ในแนวทางเดิมที่เน้นการสร้างสมดุลทางการเมืองมากกว่าความสามารถจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มหวั่นไหวจะยิ่งลดต่ำลง

    การปรับ ครม.ในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ในการพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของประเทศ โดยหากยังคงเลือกการประนีประนอมทางการเมืองแทนการเลือกคนเก่งจริง เศรษฐกิจไทยจะต้องเสียโอกาสในการฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจลดต่ำลง การรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ทำได้ไม่เต็มศักยภาพ และอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คิดในการกลับมาแข่งขันได้ในเวทีโลกได้