เทียบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 2540 หรือ 2568 ที่ 'คุ้มค่า' ?

เทียบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 2540 หรือ 2568 ที่ 'คุ้มค่า' ?

เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ต้องการแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณ โดยได้โยกงบประมาณจำนวน 1.57 แสนล้านบาท จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดิม นำมาสนับสนุนในภาคส่วนที่เจาะจงมากขึ้น แทน แนวทางใหม่นี้มุ่งหวังที่จะนำเม็ดเงินจำนวนมากไปสู่ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและชุมชนโดยตรง เช่น ชุมชน SML, การท่องเที่ยว, เกษตรกร และการแก้ไขปัญหาถนน การใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ ซึ่งมาจากงบประมาณกลางของประเทศ หรือก็คือ เงินภาษีของประชาชน ย่อมนำมาสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ “ความคุ้มค่า” ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับ

ย้อนกลับไปในอดีต ช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 รัฐบาลในขณะนั้นก็ได้มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกัน นั่นคือ โครงการมิยาซาวา หรือ Miyazawa Initiative โครงการนี้ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นในรูปแบบของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการค้ำประกันพันธบัตร ซึ่งประเทศไทยก็ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงิน ช่วยเสริมสภาพคล่อง และกระตุ้นเศรษฐกิจ

     โครงการมิยาซาวา นั้นถูกมองว่าเป็นการช่วยกอบกู้วิกฤติสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจไทยที่กำลังวิกฤติ ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้บ้าง และช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนสภาพคล่องได้ นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างงาน และเป็นการวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวในระยะยาว โครงการนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติและตลาดโลก รวมถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นภาระหนี้สินที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบและชำระคืนในระยะยาว ซึ่งถือเป็น “ต้นทุน” หรือความคุ้มค่าในอีกมุมหนึ่ง

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งใช้งบประมาณกลางของประเทศจำนวน 1.57 แสนล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นเงินภาษีของประชาชน ความแตกต่างด้านแหล่งเงินทุนนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาความคุ้มค่า การกระตุ้นครั้งใหญ่นี้เน้นการสนับสนุนแบบเจาะจงภาคส่วน โดยมุ่งเป้าไปยังภาคส่วนที่ประสบปัญหาเฉพาะหน้า แตกต่างจากโครงการมิยาซาวาที่เน้นแก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงินและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก การกระตุ้นแบบใหม่นี้มุ่งหวังว่าอาจช่วยกระจายเม็ดเงินสู่ฐานราก ไปยังภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและชุมชนโดยตรง

คำถามสำคัญที่ตามมาในตอนนี้คือ ด้วยกลไก บริบท และแหล่งเงินทุนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างสองยุคสมัยนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปัจจุบันจะให้ “ความคุ้มค่า” ที่แท้จริงได้อย่างไร รัฐบาลจะต้องมีมาตรการควบคุมประสิทธิภาพการเบิกจ่าย การบริหารจัดการโครงการ และการป้องกันการรั่วไหลอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงการกำกับติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งคือเงินภาษีของประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวังไว้ มากกว่าการเป็นเพียงภาระการใช้จ่ายที่ไม่ได้ส่งผลบวกอย่างยั่งยืน ความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่นี้ จะวัดได้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะต่อไป